วันนี้ (20 เม.ย.) มีรายงานว่า ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริต มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่ พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี อดีตจำเลย คดีร่วมกันฆ่า นายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), พ.ต.อ.สุขาติ วงศ์อนันตชัย อดีตรองอธิบดีดีเอสไอ, พ.ต.ท.เบญจพล จันทวรรณ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ, นายรุจ เขื่อนสุวรรณ อัยการฝ่ายคดีพิเศษ และนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ในความผิดต่อหน้าที่ราชการและเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม และปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ มาตรา 157
คำฟ้องสืบเนื่องจากกรณีพวกจำเลยเรียกไปสอบสวนและแจ้งข้อหาคดีฆาตกรรมนายอัลรูไวลี่ โดยไม่แจ้งพฤติการณ์แห่งคดี มีเพียงคำให้การซัดทอดของ พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก ที่เคยให้การแล้วกลับคำให้การอันเป็นเท็จว่า โจทก์เป็นผู้นำแหวนของนายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ มามอบให้ พ.ต.ท.สุวิชชัย ซึ่งพวกจำเลยอ้างว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ แต่กลับไม่นำแหวนมาให้โจทก์ดูเพื่อให้การแก้ต่าง จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษคดีนี้
ศาลอาญาพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ และมีการโอนคดีมายังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีจึงเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริต
โดยศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับไว้ไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แล้วพิจารณาหรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามรูปคดี
ต่อมาศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล จึงพิพากษายกฟ้อง ฝ่ายโจทก์ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตฯ ตรวจสำนวนแล้วมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีมีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งห้าเป็นคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายอัลรูไวลี่ โดยก่อนจะมีการรื้อคดีนี้ โจทก์เคยร่วมทำการสืบสวนคดีนี้มาก่อน จึงอยู่ในข่ายที่จะต้องถูกสอบสวน และก่อนเริ่มคำถามได้ทำการแจ้งสิทธิให้โจทก์ทราบ โจทก์มีทนายความเข้าร่วมรับฟังการสอบสวน และให้การปฎิเสธโดยทราบพฤติการณ์แห่งคดีที่ถูกกล่าวหาปรากฎตามเอกสารบันทึกคำให้การ โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือทนายความโต้แย้งการสอบสวน
แสดงว่าคณะพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาให้โจทก์ทราบชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้โจทก์โต้แย้งข้อกล่าวหาได้ เมื่อโจทก์ปฎิเสธไม่เกี่ยวข้องกับแหวนวัตถุพยาน การที่พนักงานสอบสวนไม่นำแหวนดังกล่าวมาให้โจทก์ดูจึงไม่ทำให้โจทก์เสียหาย
นอกจากนี้ มีการสอบปากคำ พ.ต.ท.สุวิชชัย เพิ่มเติมหลายครั้ง ให้การยืนยันการกระทำความผิดของโจทก์ และคำให้การที่เคยให้การในส่วนของคดี พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กับพยานอื่นอีกหลายอย่างที่อาจพิสูจน์การกระทำความผิดของโจทก์ ในชั้นนี้จึงมีหลักฐานตามสมควรที่จะนำโจทก์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา พฤติการณ์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งห้ากลั่นแกล้งโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 14 มี.ค.65 ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้สั่งให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้อง พ.ต.อ.ทวี กับพวก ในคดีที่ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ทวี ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ เพื่อกลั่นแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, มาตรา 157 และมาตรา 200 วรรคสอง
โดย พล.ต.ท.สมคิด เป็นอดีตจำเลยคดีฆาตกรรม นายอัลรูไวลี่ เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี และยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ทวี กับพวก เป็นจำเลยกลุ่มเดียวกัน ในความผิดฐานเดียวกัน แต่ในคดีที่ พ.ต.ท.สุรเดช ยื่นฟ้อง ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตฯ มีคำสั่งให้ยกฟ้อง ส่วนคดี พล.ต.ท.สมคิด กลับมีคำสั่งให้ประทับรับฟ้อง