"จุรีพร" อ้าง "น้ำในหูไม่เท่ากัน" เปิดลำโพงคุยโทรศัพท์ "แรมโบ้" ทำคลิปหลุด

ยังคงเป็นประเด็นเดือดๆ อย่างต่อเนื่อง ภายหลังนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย พานายสุดสยาม มากแก้ว หรือ “กิ๊ก” ให้ปากคำตำรวจ กรณีถูกกล่าวหาแอบอัดคลิปเสียงเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.จุรีพร สินธุไพร ข้าราชการการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ และนายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับยืมเงิน 15 ล้านบาท แลกกับโควตาหวย นำมาเผยแพร่

ล่าสุดวันนี้ (20 เม.ย.) น.ส.จุรีพร แถลงข่าวชี้แจงว่า รู้จักกับนายกิ๊ก เมื่อวันที่ 13 มี.ค.โดยมีนางน็อตเป็นผู้หญิง ขอประสานเข้าพบ ที่อ้างว่ามีโรงงานทำเสื้ออยู่ที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด จะมาขอโควตาทำเสื้อ และยังอ้างว่า มีโควตาทำปุ๋ยทั่วประเทศอีกด้วย

“เขาอ้างว่า สนิทกับรองปลัดกระทรวงคะมนาคม จะเอางานถนนราดยางมาลงตามท้องถิ่นต่างๆ ในร้อยเอ็ด จึงให้อดีตรองประธานสภา อบต.รอบเมือง และอดีตนายกฯ ไปนั่งฟัง รวมถึงยังกล่าวอ้างอีกว่า ส.ส.ในร้อยเอ็ด ได้ลงมาแล้ว แต่เมื่อสอบถาม ไม่มีใครได้แม้แต่คนเดียว หรือได้รับงบประมาณจากส่วนนี้เลย”

ส่วนที่นายกิ๊ก อ้างว่า มีโรงงานผลิตเสื้อใน อ.อาจสามารถ สืบทราบภายหลังพบว่า โรงงานดังกล่าวปิดกิจการไปแล้ว โดยเมื่อวันที่ 28 มี.ค.นายกิ๊ก เดินทางเข้ามาพบตนเอง เพื่อเข้ารับออเดอร์ พร้อมรองเท้าแบรนด์เนมมาให้ ซึ่งเราไม่ได้ต้องการ แต่ระหว่างนั้นเขาได้ยินว่า ตนเองกำลังจะขอพบ “แรมโบ้” เพื่อคุยเรื่องการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด จึงขอติดตามไปด้วย

เบื้องต้นตนเองและสามี ได้เข้าพบ “แรมโบ้” เพียง 2-3 นาที เพราะเขามีงานเยอะ และมีการนัดคุยกันวันหลัง โดยนายกิ๊ก ไม่ได้เข้ามาคุยด้วย เมื่อเสร็จธุระจึงไปนั่งกินข้าวที่ร้านอาหาร ซึ่งบนโต๊ะมีทั้งหมด 5 คน

“พอพี่แรมโบ้โทรมา จึงเปิดลำโพงรับสาย โดยมีคุณกิ๊กนั่งอยู่ติดกัน และเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ แต่ไม่ได้เฉลียวใจ โดยเขาเหมือนจะลุกไปคุยโทรศัพท์บ่อยครั้ง ส่วนกรณีที่เปิดลำโพงคุยโทรศัพท์ เพราะมีปัญหาเรื่องน้ำในหูไม่เท่ากัน ประกอบกับไม่เคยมีความลับกับใคร ยินดีให้นำโทรศัพท์ไปทำการตรวจสอบว่า ใครที่ปล่อยคลิปกันแน่ แต่ถ้านายกิ๊ก บริสุทธิใจจริง ให้นำโทรศัพท์ที่มีอยู่ทุกเครื่อง ไปให้ตำรวจตรวจสอบได้”

ขณะที่นายเฉลิมพล ระดาพัฒน์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย น.ส.จุรีพร ระบุว่า คดีนี้คิดว่าไม่น่ายาก เพราะเป็นเพียงการสนทนาโทรศัพท์ของ 2 คน ก็ให้เรียกคนที่ปล่อยคลิปมาสอบสวนว่า ได้คลิปมาจากใคร เช็กข้อมูลในโทรศัพท์ย้อนหลังว่าใครเป็นผู้บันทึกคลิป เพื่อนำไปรวบรวมเป็นหลักฐานดำเนินการตามกฎหมาย

ส่วนกรณีที่มีผู้กล่าวโทษทำให้ น.ส.จุรีพร เสียหาย ตนเองในฐานะที่ปปรึกษาทางกฎหมาย จะรวบรวบพยานหลักฐาน ดำเนินการตามกฎหมายเช่นกัน