นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวในประเด็น ภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย BA.2 ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย
ในตอนนี้ เป็นยุคการระบาดระลอก 5 สายพันธุ์โอมิครอนเป็นตัวหลัก การระบาดและกลายพันธุ์ย่อยเป็น BA.1 และ BA.2 เพราะฉะนั้นการตรวจเฝ้าระวังและการศึกษาเรื่องของภูมิเป็นสิ่งสำคัญ
นพ.ศุภกิจ เปิดเผยว่า
ขณะนี้ ยอดรวมสะสมโควิดกว่า 3 ล้านคน สำหรับสถานการณ์เฝ้าระวังสัปดาห์ที่ผ่านมา ชัดเจนว่า BA.2 ขึ้นไปถึง 95.9% เหลือ BA.1 แค่ 4% ดังนั้น ไม่เกิน 2 สัปดาห์ เกือบ 100% จะเป็น BA.2 เพราะแพร่เร็วกว่า ส่วนเดลตาแทบไม่เหลือในบ้านเราแล้ว
"เบื้องต้นจากกราฟสีน้ำเงินและสีแดง โดยกรณีคนฉีดวัคซีน 2 เข็ม จากซิโนแวค กับแอสตราเซเนกา ซึ่งสูตรไขว้ และยังมีแอสตราฯ กับแอสตราฯ และมีไฟเซอร์ 2 เข็ม และมีซิโนแวคตามด้วยไฟเซอร์ และยังมีแอสตราฯ ตามด้วยไฟเซอร์"
"นอกจากนี้ ยังมีการฉีด 3 เข็ม คือ ซิโนแวค ซิโนแวค และแอสตราฯ รวมทั้ง ยังมีซิโนแวค 2 เข็ม ตามด้วยไฟเซอร์ และมีแอสตราฯ 2 เข็ม และตามด้วยไฟเซอร์ อีกทั้งยังมีสูตรซิโนแวค แอสตราฯ ตามด้วยไฟเซอร์ และยังมีสูตรซิโนแวค แอสตราฯ และตามด้วยแอสตราฯ เข็มที่ 3" นพ.ศุภกิจ กล่าว
นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงเบื้องต้น คนที่ฉีดไม่ว่าสูตรไหนก็ตาม ปรากฏว่า ภูมิที่ลบล้างฤทธิ์ไวรัสโอมิครอน BA.2 สูงกว่า BA.1 ด้วยซ้ำไป หมายว่าภูมิ จัดการ BA.2 ได้มากกว่า BA.1 ดังนั้น ที่กังวลว่า BA.2 จะหลบวัคซีนได้มาก น่าจะไม่จริง อันนี้เป็นเลือดหลังจากฉีดวัคซีนไป 2 สัปดาห์ ซึ่งภูมิคุ้มกัน จะเพิ่มขึ้นสูง
แม้จะจัดการ BA.2 ได้สูง แต่ตัวเลขไม่ได้มากนัก วัดตอน 2 สัปดาห์หลังฉีด ดังนั้น ณ วันนี้ ฉีดมานาน ภูมิคุมกันอาจตกลง แต่ขณะที่ผู้ฉีดวัคซีน 3 เข็ม หรือบูสเตอร์ ภูมิกลับขึ้นสูงขึ้นพอสมควร จึงเป็นสาเหตุต้องให้มาฉีดเข็ม 3
ข้อมูลหากเวลาเลยไปประมาณ 1 เดือน คนที่ฉีดซิโนแวค 2 เข็มภูมิแทบไม่เหลือเฉลี่ย 11 นิดๆ คัดพอยต์อยู่ที่ 10 ป้องกันได้ ส่วนแอสตราฯ กับแอสตราฯ ขึ้นไปประมาณ 26 ซึ่ง 1 เดือนเหลือแค่นี้ หากกินเวลา 2-3 เดือนก็จะเหลือยิ่งน้อย แต่หากถูกบูสเตอร์ด้วยเข็มที่ 3 เช่น ซิโนแวค 2 เข็ม เติมด้วยแอสตราฯ หรือไฟเซอร์ ก็จะเป็น 61 และ 94 ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร อยู่ในระดับที่พอจะช่วยป้องกันโรคได้