จากกรณีที่ลูกสาวแท้ๆ วัย 14 ปี วางแผนกับแฟนหนุ่มวัย 16 ปี ก่อเหตุสังหารโหดฆ่าแม่อายุ53ปี ภายในต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สภาพศพถูกแทงตามร่างกายหลายจุด หลังเกิดเหตุนั่งรอมอบตัวหน้าห้องพัก ชาวบ้านทราบข่าวต่างโกรธแค้นและพยายามรุมประชาทัณฑ์
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต ระบุว่า ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ในช่วงที่มีวิกฤติโควิดทำให้สังคมไทยโดยร่วมมีความเครียดสูงขึ้นมาก เดิมปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมีอยู่แล้ว มีหลายงานวิจัย ในหลายสถาบันออกมาบอกว่าในช่วงที่มีวิกฤติโควิดสังคมโดยรวมมีความเครียดสูงมากขึ้น ทั้งเรื่องงาน เงิน และความสัมพันธ์ ทำให้ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น กรณีข่าวดังกล่าว ถือเป็นตัวอย่างของปลายทางความรุนแรงในครอบครัวโดยตอนจบที่มีคนเสียชีวิตในครอบครัว แต่กลายเป็นเด็กที่ลงมือทำร้ายผู้ใหญ่
ปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวส่วนมากเกือบ100% มักเกิดจากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีในครอบครัว ซึ่งถ้าครอบครัวไหนมีความสัมพันธ์ที่ดีมักเกิดการแก้ปัญหา ด้วยการเจรจาระหว่างผู้ปกครองกับเด็ก ซึ่งปัญหาวัยรุ่นกับเพื่อนต่างเพศเกิดขึ้นบ่อยมาก โดยสามารถแก้ปัญหาด้วยการพูดคุยกันได้ แต่ถ้าปัญหาเหล่านี้จบด้วยความรุนแรงอาจจะมีเบื้องหลังบางอย่างที่ยังไม่รู้ตอนนี้ แต่มักเป็นเรื่องความสัมพันธ์และอาจจะมีความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวมาก่อน
ส่วนมากเด็กที่ใช้ความรุนแรง มักเกิดจากที่เด็กเรียนรู้ความรุนแรงมาจากบางอย่าง หากเด็กไม่เคยเรียนรู้ความรุนแรง ยากมากที่จะกระทำความรุนแรงด้วยตนเอง ยกเว้นมีอาการป่วยทางจิตอย่างรุนแรง ส่วนมากเด็กอาจจะเคยเห็นความรุนแรงมาจากที่ไหนก็ได้ เช่น ข่าวความรุนแรง สิ่งแวดล้อมรอบข้าง เพื่อน และคนในครอบครัว ซึ่งถ้าเด็กเห็นความรุนแรงบ่อยๆ อาจจะรู้สึกว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีความรุนแรงมากในสายตาของเด็ก จนเกิดความคุ้นชินและไปทำร้ายคนอื่นได้
สัญญาณเตือนเมื่อเด็กจะก่อความรุนแรง นพ.วรต ระบุว่า ความรุนแรงจะมีสัญญาเตือนตลอด ซึ่งความรุนแรงจะค่อยๆไต่ระดับ เช่น ความรุนแรงทางอารมณ์ สีหน้า คำพูด ความโกรธ บางคนมีอาจการทำร้ายตนเอง ทำลายครอบครัว และทำร้ายครอบครัวซึ่งถ้าสัญญาณความรุนแรงเหล่านี้ไม่ได้สังเกตเห็น ไม่ได้รับการหยุด ก็ขยับความรุนแรงไปจนถึงการทำร้ายผู้อื่น และทำลายสังคม
"ถ้าความรุนแรงที่ปล่อยออกมามีความเพิกเฉย โอกาสที่จะพัฒนาความรุนแรงมากขึ้นสูง เช่น บางคนทำร้ายสัตว์ จนขยับความรุนแรงมาทำลายคนแทน หากปล่อยให้หายไปเองมีโอกาสยากมาก จนอาจจะก่อให้เกิดความสูญเสียบางอย่างก่อน ต้องได้รับความดูแลอย่างใกล้ชิด"
ส่วนกรณีที่ความรุนแรงของเด็กสามารถก่อให้เกิดอาการทางจิตได้หรือไม่ นพ.วรต ระบุว่า มีทั้ง2ทาง คืออาการทางจิตบางอย่างที่นำไปสู่ความรุนแรงและความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเด็กบ่อยๆจนนำไปสู่อาการทางจิต เช่น เด็กบางคนมีพฤติกรรมก้าวร้าว ดื้อต่อต้าน อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงที่สูงขึ้น เด็กไม่ได้ป่วยทางจิตเลยแต่ถูกใช้ความรุนแรงในครอบครัวมาโดยตลอด จนเกิดการเรียนรู้ความรุนแรงไปทำกับผู้อื่น จนนำไปสู่การพัฒนาโรคต่างๆได้ เช่น โรคทางอามรมณ์ โรควิตกกังวล หรือการมีปัญหาเข้าสังคมกับคนอื่น
กรณีข่าว ลูกสาวร่วมมือแฟน ฆ่าแม่ - พี่ชายเป็นคดีความที่ตำรวจกำลังดำเนินการต่อเพื่อสืบหาความความจริง แต่ถ้าสงสัยเรื่องสุขภาพจิต ก็จะส่งมาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญกรมสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นต่อไป สิ่งที่สำคัญคือคนในสังคมที่ดูข่าวนี้ เกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว จะต้องสังเกตคนในครอบครัวและหันหน้ามาคุยกันที่บ้านว่าความสัมพันธ์ครอบครัวเป็นแบบไหน จะทำยังไงไม่ให้ใช้ความรุนแรงในครอบครัว เพราะการใช้ความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา ส่วนครอบครัวที่เด็กไม่สามารถขอคำปรึกษาได้ นพ.วรต ระบุว่า ต้องดูว่ามีคนที่เราไว้ใจไหม เช่น เพื่อนที่ให้คำปรึกษาได้ดี ครูที่โรงเรียน หากไม่มีจริงๆให้ติดต่อสายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 ก็เป็นทางออกที่จะโทรมาปรึกษาได้
นพ.วรต ระบุทิ้งท้าย ว่า อย่าลืมเยียวยาพี่ชายที่เป็นคนเห็นเหตุการณ์และถูกทำร้ายทางร่างกาย ซึ่งคนที่ทำร้ายคือคนในครอบครัวจนทำให้แม่เสียชีวิต แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อจิตใจเป็นอย่างมาก ซึ่งพี่ชายนอกจากรักษาร่างกายแล้ว จะต้องส่งคนไปดูแลบาดแผลทางจิตใจที่เกิดขึ้นด้วยในระยะยาวที่จะได้ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรง