10 กันยายน 2564 จากสภาวะความเครียด ความวิตกกังวล รวมถึงในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นในชีวิต ส่งผลให้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจที่จะ "หนี" หรือ "ทิ้ง" ปัญหาทุกอย่างด้วยการ "ฆ่าตัวตาย" ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า โดยเฉลี่ยแล้วมีคนทั่วโลกฆ่าตัวตายถึงวันละเกือบ 3,000 คน เท่ากับว่าในหนึ่งปีจะมีคนฆ่าตัวตายมากกว่า 1 ล้านคน และตัวเลขนี้ก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ
ศ.พญ.สุวรรณา อรุณพงค์ไพศาล อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า การฆ่าตัวตายในประเทศไทยมีแนวโน้มที่สูงขึ้น โดยข้อมูลจากใบมรณบัตรพบว่า
พญ.สุวรรณา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการป้องกันและลดอัตราการฆ่าตัวตาย มีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ เน้นการใช้ฐานข้อมูลที่เป็นจริง และให้ความสำคัญกับจังหวัด มีมาตรการและกำหนดแผนอย่างชัดเจน
"ประชาชนสามารถเรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึงการดูแลป้องกันการปัญหาการฆ่าตัวตาย ในระดับบุคคลที่ประสบภาวะวิกฤต ขอให้มีพลัง ฮึดสู้ ขณะที่สังคม ชุมชน ต้องมีการสร้างความหวัง สร้างความปลอดภัย สร้างความสงบ สร้างโอกาส ทุกคนร่วมด้วยด้วยกัน ใช้ศักยภาพของชุมชนขับเคลื่อน"
ด้าน ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) เผยว่า ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุข พบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญของการฆ่าตัวตาย เป็นอันดับ 3 และในภาคเหนือเคยมีรายงานว่า สถิติการฆ่าตัวตายสูงหลังไปร่วมงานศพที่มีการเลี้ยงเหล้าในงาน ต่อมาคนในชุมชนมีมติให้จัดงานศพปลอดเหล้า สถิติการฆ่าตัวตายลดลงจริง ยิ่งในสถานการณ์การระบาดของโควิดมีหลายปัจจัยเพิ่มที่ทำให้คนมีความเครียดมากยิ่งขึ้น เช่น การสูญเสียคนในครอบครัว รายได้ลดลงหรือตกงาน กลัวติดเชื้อ เป็นต้น ถ้าหันไปพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยจะยิ่งเป็นเหตุสนับสนุนการฆ่าตัวตายมา ยิ่งขึ้น
"ถ้าคิดใหม่ ใช้สถานการณ์วิกฤตนี้ ให้เป็นโอกาส ในการ ลด ละ เลิก การดื่มน้ำเมาทุกชนิด เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานสู้โควิด ป้องกันสุขภาพจิต สุขภาพใจ อีกทั้งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคม ไม่เป็นแหล่งกระจายเชื้อจากการขาดสติ และช่วยลดรายจ่าย เปลี่ยนค่าน้ำเมาไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นกับครอบครัว ก็จะช่วยลดปัญหาต่างๆ ไปได้มาก"
ทุกวันที่ 10 กันยายนของทุกปี เป็น "วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก" หรือ "World Suicide Prevention Day" โดยในปีนี้ กรมสุขภาพจิตได้ผลักดันและรณรงค์เพื่อสร้างเสริมสุขภาพจิตที่ดี เพื่อลดการสูญเสียจากการฆ่าตัวตายในประเทศไทย กรมสุขภาพจิตจึงผลักดันแคมเปญ "See You Tomorrow แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้" เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงการสังเกตตนเองว่ามีความเสี่ยงในการรู้สึกสิ้นหวังหรือไม่ โดยสามารถสังเกตได้จาก