อะเฟเซีย (Aphasia) หรือ ภาวะเสียการสื่อความ หมายถึง ความผิดปกติทางภาษาที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทโดยมีพยาธิสภาพในสมอง ภาวะเสียการสื่อความจะมีความผิดปกติของความเข้าใจและการใช้ภาษา มักมีความผิดปกติในความสามารถทางภาษาทุกด้าน คือ ความผิดปกติในการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน โดยอาจมีความรุนแรงในแต่ละทักษะไม่เท่ากัน
ผู้ป่วยอาจมีความลำบากในการฟังเข้าใจ คำพูด วลีและประโยค มีความลำบากในการนึกหาคำศัพท์หรือคำพูดที่ถูกต้อง เช่น ชื่อคน สถานที่สิ่งของ ทำให้พูดผิดหรือใช้คำอื่นมาแทน โดยอาจเป็นคำหรือเสียงใหม่ในภาษา
มีความลำบากในการจำคำพูด ทำให้ไม่สามารถเข้าใจคำพูด และการตอบสนองอาจผิดพลาดความผิดปกติของไวยากรณ์ในภาษาทำให้การเรียงลำดับและการจัดรูปประโยคผิดได้ หรือพูดคำที่ไม่มีความหมายเลย มีความผิดปกติในการใช้ภาษา ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน พูดลำบาก พูดได้ช้า พูดเป็นประโยคสั้น ๆ เป็นภาษาโทรเลข
อ้างอิงจากข้อมูลจากสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ของสหราชอาณาจักร ภาวะสูญเสียการสื่อความ มักมีสาเหตุจากความเสียหายในสมองซีกซ้าย ทำให้นึกภาษาหรือคำพูดได้ลำบาก กระทบต่อการ อ่าน, ฟัง, พูด, พิมพ์ หรือเขียน ของผู้ป่วย โดยอาการที่พบได้บ่อยที่สุดคือ ปัญหาทางการพูด รวมถึงการประสมคำไม่ถูกต้อง
ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย ได้สรุป อาการของผู้มีภาวะสูญเสียการสื่อความ เอาไว้ ดังนี้
แนวทางการรักษา
แพทย์จะรักษาภาวะ Aphasia ด้วยวิธีการบำบัดทางการพูดและภาษาเป็นหลัก เพื่อฟื้นฟูความสามารถด้านการใช้ภาษาและเสริมทักษะการสื่อสาร โดยผู้ป่วยจะได้รับการประเมินสุขภาพทั่วไป ระดับความผิดปกติของการใช้ภาษา และทักษะทางสังคมก่อนเข้ารับการบำบัดจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
การบำบัดดังกล่าวมีทั้งการบำบัดกับผู้เชี่ยวชาญ การทำกลุ่มบำบัด และการทำครอบครัวบำบัด โดยในขั้นตอนของการบำบัด แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะฝึกหรือทบทวนการใช้คำ ใช้ประโยคที่ถูกต้อง การพูดทวน และการถามตอบที่เหมาะสมให้แก่ผู้ป่วย รวมทั้งมีการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้คำศัพท์และเสียงของคำต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร เข้าร่วมบทสนทนา สื่อสารได้เมื่อถึงเวลาของตนเอง เข้าใจในข้อผิดพลาดทางการใช้คำและแก้ไขบทสนทนาที่ผิดพลาดนั้นได้
โดยทั่วไป อาการของผู้ป่วยจะค่อย ๆ ได้ผลดีขึ้นหลังทำการบำบัดติดต่อกัน แต่บางรายอาจใช้เวลานานกว่าปกติในการบำบัด โดยจากการศึกษาพบว่าการบำบัดจะได้ผลที่ดีที่สุดเมื่อเริ่มทันทีหลังจากที่ร่างกายและสมองเริ่มฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บจนอยู่ในอาการที่ปลอดภัย
มีวิธีการป้องกันหรือไม่
สามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่สร้างความเสียหายต่อสมองและดูแลสุขภาพของสมองด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น
อีกความคืบหน้า "บรูซ วิลลิส" นักแสดงรุ่นใหญ่ของวงการฮอลลีวูด วัย 67 ปี และ "เอ็มมา เฮมมิง-วิลลิส" ภรรยา และ "เดมี มัวร์" อดีตภรรยา ออกแถลงการณ์ร่วมผ่านอินสตาแกรมในวันพุธที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องที่สุดยอดนักแสดงอย่างป๋า "บรูซ วิลลิส" กำลังป่วยเป็นโรค "อะเฟเซีย" (Aphasia) หรือภาวะเสียการสื่อความ และการตัดสินใจอำลาอาชีพนักแสดง
โดยแถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า
“สำหรับแฟน ๆ ของ บรูซ เราในฐานะครอบครัวอยากจะแจ้งข่าวว่าขณะนี้ บรูซ กำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพ และเพิ่งจะตรวจพบว่าเขามีภาวะอะเฟเซีย ซึ่งจะมีผลต่อกลไกทางการรับรู้
ด้วยผลของโรค บรูซ ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ว่า เขาจำเป็นต้องยุติบทบาทอาชีพนักแสดง ซึ่งมีความหมายต่อเขามากเหลือเกิน
โดยอะเฟเซีย เป็นภาวะสมองเสียหาย ที่จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการสื่อสารทั้งการพูด เขียน และทำความเข้าใจในภาษาต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบกับการทำงานแสดงโดยตรง ซึ่งอาการดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นหลังจากผู้ป่วยมีภาวะเส้นเลือดในสมองแตก หรือ ศีรษะได้รับความ กระทบกระเทือนอย่างรุนแรง"
“หลังจากนี้พวกเราคงต้องเจอเรื่องท้าทายอีกมากมาย และพวกเราต่างได้รับทราบถึงความรักความหวังดีและกำลังใจจากทุกคน เราจะก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งพร้อมกันเป็นครอบครัว และอยากจะให้แฟน ๆ ของเขาได้รับทราบเรื่องนี้ด้วย เรารู้ดีว่าทุกคนมีความหมายกับเขามาก อย่างที่ บรูซ มักจะพูดว่า 'มีความสุขไปด้วยกันเถิด' เสมอ”
ขอบคุณที่มาข้อมูลจาก : เว็บไซต์สภากาชาด และ เว็บไซต์พบแพทย์