"สาธิต"ย้ำมติปชป.หนุนใบเลือกตั้งเบอร์เดียวทั่วประเทศ

30 มีนาคม 2565 นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... กล่าวถึงกระแสข่าวที่กมธ.ฝ่ายรัฐบาล ไม่ต้องการหมายเลขผู้สมัคร ส.ส.เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นหมายเลขเดียวกัน เนื่องจากเกรงว่าพรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ ว่าในส่วนของรัฐบาลตนไม่มั่นใจว่ามีความต้องการเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ มีจุดยืนตามมติพรรค คือ ต้องการให้หมายเลขผู้สมัคร ส.ส.เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นหมายเลขเดียวกัน เพื่อต้องการให้พรรคการเมืองเกิดความเข้มแข็ง โดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะเกิดความเข้มแข็งได้พรรคการเมืองจะต้องมีความเข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจในการเลือกพรรคการเมือง และ ส.ส. และมีสิทธิที่จะเลือกต่างกันก็ได้ ที่สำคัญในยุคนี้ ต้องทำให้ประชาชนแสดงความประสงค์ในการเลือกตั้งให้มากที่สุด หรือให้มีบัตรเสียให้น้อยที่สุด ถ้าออกแบบและแก้กฎหมาย ก็ต้องให้ประชาชนทุกชนชั้นเข้าถึงด้วย

ส่วนบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเบอร์เดียวกันจะทำให้ประชาชนสะดวกในการใช้สิทธิ์กว่าบัตรคนละเบอร์หรือไม่นั้น ส่วนตัวเชื่อเป็นเช่นนั้น เพราะจากประสบการณ์ถ้าคนละเบอร์ เวลาลงพื้นที่ก็จะสร้างความสับสนให้กับผู้เลือกและผู้หาเสียงด้วย ถ้าเบอร์พรรคไม่ตรงกับเบอร์ ส.ส. ผู้สมัครในพื้นที่ก็ไม่หาเสียงให้พรรคด้วย ในส่วนนี้จึงเป็นปัญหาที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาหารือกันอยู่บ่อยครั้ง 

สำหรับการประชุมกมธ.ในวันนี้ (30มี.ค.) จะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นให้ได้มากที่สุด ทั้งประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ความเห็นของแต่ละฝ่าย ก็เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ โดยหลักสำคัญในการประชุมวันนี้ จะต้องเดินหน้าให้แล้วเสร็จให้ได้ในมาตรานี้ ซึ่งหลายคนที่กังวลในข้อกฎหมาย กมธ.สามารถออกแบบในการแก้กฎหมายไม่ให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งในชั้นกมธ.มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ในการเขียนและแก้ให้เกิดความถูกต้องตามเจตนารมณ์

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามต่อว่า การแก้กฎหมายในลักษณะนี้จะเป็นประโยชน์กับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายสาธิต ระบุว่า ตามหลักการแก้รัฐธรรมนูญ คือ จะต้องทำให้พรรคเข้มแข็งและสร้างความสะดวกให้กับประชาชน ถ้าการแก้กฎหมายเพื่อกัน หรือเป็นประโยชน์กับใครสักคน กติกาก็จะไม่ได้รับความเชื่อมั่น ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกตั้งหากใครแพ้หรือชนะ จะสามารถหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาสร้างความขัดแย้งได้ ฉะนั้น การแก้กฎหมายครั้งนี้ต้องมองว่าแก้เพื่ออะไร  ถ้าใครแก้เพื่อตัวเองหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ก็อย่าหวังว่าจะได้เสียงจากประชาชน