เปิดข้อมูล "โควิด" กับ "ไข้เลือดออก" อาการป่วยต่างกันอย่างไร ?

28 มีนาคม 2565 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงโรคที่ต้องเฝ้าระวังในช่วงนี้ว่า นอกจาก โควิด-19 ที่ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่องแล้ว ตอนนี้เริ่มมีสัญญาณผู้ป่วย “โรคไข้เลือดออก” ซึ่งพบว่ามีเสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยในปีนี้ผ่านไป 3 เดือน มีผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออกแล้ว 3 ราย ขณะที่ 2564 มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเสียชีวิตทั้งหมด 6 คน

ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตในปีนี้พบว่า เป็น โรคไข้เลือดออก ร่วมกับ โควิด-19 ด้วย และพบประวัติในการซื้อยาจากร้านยามารับประทานเอง โดยเป็นยากลุ่มเอ็นเสด หรือเดิมคือแอสไพริน ซึ่งทำให้มีเลือดออกในทางเดินกระเพาะอาหาร และเสียชีวิตได้

ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ มี 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค

นพ.โอภาส ระบุว่า หากมีอาการป่วยควรไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะอาจจะป่วยหนักได้ ในช่วงนี้มีโอกาสพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นทุกภาคทั่วประเทศ เนื่องจากมีฝนตกหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำขังตามภาชนะและวัสดุต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลาย

สำหรับผู้ป่วย “ไข้เลือดออก” เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี มีอาการดังนี้

• มีไข้สูงลอยประมาณ 2 - 3 วัน
• ผื่น
• หน้าแดง
• ปวดศีรษะ
• ปวดเมื่อย
• เบื่ออาหาร
• คลื่นไส้อาเจียน
• ปวดท้อง

อย่างไรก็ตาม บางรายอาจมีถ่ายดำหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเห็นจุดเลือดออกสีแดงเล็กๆ ตามผิวหนัง ซึ่งผู้ป่วยหากมีอาการไข้ลดลง อย่าเพิ่งชะล่าใจ เพราะทำให้เกิดภาวะช็อกจนกระทั่งเสียชีวิตได้ หรือถ้ามีไข้สูงต่อเนื่องกว่า 2 วัน หากจะเช็ดตัว หรือทานยาลดไข้แล้วก็ไม่ดีขึ้น ให้สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกไว้ก่อน ควรนำส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการและรักษาได้ทันท่วงที

ขณะที่ โควิด-19 เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีอาการดังนี้

• ไข้ต่ำถึงสูง
• ปวดเมื่อยตามตัว
• เจ็บคอ
• ไอแห้งหรือมีเสมหะ
• มีน้ำมูก
• หอบเหนื่อยหายใจลำบาก
• ปอดอักเสบในรายที่รุนแรง
• อาเจียน
• ท้องเสียมีในบางราย
• ไม่พบจุดเลือดออกตามผิวหนัง