โอเลคซี บิโลชิตสกี ผู้บัญชาการตำรวจเมืองโปปาสนา ห่างจากเมืองลูฮานสค์ ไปทางตะวันตกราว 100 กิโลเมตร เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2565 ใจความระบุว่า กองทัพรัสเซียใช้อาวุธเคมีดังกล่าวในพื้นที่
สำหรับเรื่องนี้ ทางด้านสำนักข่าว เอเอฟพี รายงานว่า ยังไม่สามารถยืนยันความถูกต้องของข้อความดังกล่าวได้จริง
ทำความรู้จัก “ระเบิดฟอสฟอรัส”
ระเบิดฟอสฟอรัส เป็นระเบิดที่ใช้ฟอสฟอรัสขาว ที่เป็นสารไวไฟที่ไม่สามารถดับลงได้ง่ายๆ ในอดีตเคยใช้เป็นสารในไม้ขีดไฟ อานุภาพของระเบิดจึงไม่ได้สร้างความเสียหายจากแรงระเบิดแต่จะเป็นการลุกไหม้เป็นลูกไฟ ขณะที่ ฟอสฟอรัสขาว จะส่งผลให้เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจด้วย โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจและความเจ็บปวดจากการถูกไฟไหม้ตามร่างกาย
ตามกฎหมายระหว่างประเทศกำหนดไว้ว่า ห้ามใช้ระเบิดฟอสฟอรัสขาวในที่ชุมชนหนาแน่นแต่สามารถใช้ได้ในที่โล่งแจ้งสำหรับการกำบังอำพรางเจ้าหน้าที่ทหาร
ระเบิดฟอสฟอรัส อาวุธร้ายที่ไม่น่านำมาใช้เข่นฆ่ากันแบบไร้มนุษยธรรม
ฟอสฟอรัสขาว คือสารไวไฟที่ถูกค้นพบมากว่า 200 ปี เคยนำไปใช้ทำไม้ขีดไฟในยุคแรกๆ ด้วยคุณสมบัติที่ไวไฟเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่เสียดสีกันเบาๆ ก็สามารถลุกไหม้ได้ แต่ฟอสฟอรัสขาวถูกนำมาเป็นอาวุธก็ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ใช้ในการเป็นส่วนประกอบของปืนใหญ่และระเบิดกองทัพโดยอังกฤษ และต่อมาในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้มีการพัฒนาให้เป็นระเบิดที่ใช้ "ฟอสฟอรัสขาว" เป็นส่วนผสมหลักจนมีชื่อว่า "ระเบิดฟอสฟอรัส"
ความน่ากลัวของระเบิดฟอสฟอรัส อยู่ตรงที่พลังในการทำลายของมันที่ไม่ได้ใช้แรงอัดเป็นตัวสร้างความเสียหาย แต่จะใช้คุณสมบัติในการติดไฟที่ไม่ดับลงง่ายๆ ในการสร้างความเสียหาย เมื่อถูกทิ้งลงจากเครื่องบินก็จะเหมือนกับกลุ่มลูกไฟที่ตกลงสู่พื้น ควันของมันจะทำให้ผู้ที่ถูกสูดดมเกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจ และถ้าได้สัมผัสลงบนร่างกายของมนุษย์นั้น
ตัวฟอสฟอรัสจะลุกไหม้ไปเรื่อยๆ จนถึงกระดูก ผู้เสียชีวิตจากระเบิดชนิดนี้ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจและความเจ็บปวดจากแผลที่เกิดการไหม้ของฟอสฟอรัสขาว (ตรงนี้ใช้เวลานานพอสมควรกว่าผู้ที่ถูกโจมตีด้วยระเบิดชนิดนี้จะเสียชีวิต) จนหลายๆ ประเทศมองว่าระเบิดชนิดนี้นั้น "ไร้มนุษยธรรม" ซึ่งภายหลังสงครามเวียดนามได้มีการลงนามห้ามใช้ระเบิดฟอสฟอรัสโจมตีพลเรือนเนื่องจากความน่ากลัวของมันที่ไม่ได้แพ้ระเบิดนาปาล์มเลยแม้แต่น้อย
ทั่วโลกความคืบหน้าการเจรจายุติสงคราม
ในส่วนกรณีความคืบหน้าการยุติสงครามรัสเซีย - ยูเครน มีการเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี เป็นเวลานานกว่า 75 นาทีเมื่อสุดสัปดาห์ทีผ่านมา โดยผู้นำฝรั่งเศสและเยอรมนี พยายามเรียกร้องให้ปูตินออกคำสั่งยุติการโจมตียูเครนในทันที และเริ่มต้นการหาทางออกด้วยการเจรจาทางการทูตอย่างจริงจัง
แต่ เอ็มมานูเอล มาครง เปิดเผยหลังจากเจรจาผ่านโทรศัพท์สิ้นสุดลงว่า วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ยังไม่แสดงความตั้งใจที่จะยุติสงครามรัสเซีย - ยูเครน เลย โดยปูตินพยายามอธิบายถึงสถานการณ์การสู้รบที่แท้จริงในยูเครน และกล่าวหาว่ากองทัพยูเครนได้ใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ เพื่อป้องกันการโจมตีจากรัสเซีย พร้อมฝากให้ผู้นำฝรั่งเศสและเยอรมนีไปบอกประธานาธิบดีของยูเครนวอน..ให้หยุดการกระทำดังกล่าว
วลาดิเมียร์ ปูติน ได้บอกกับผู้นำฝรั่งเศสและเยอรมนีว่า ตัวแทนของรัสเซียยังคงเจรจากับตัวแทนของยูเครนผ่านช่องทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง และผลการเจรจาเริ่มเป็นไปในทางบวกมากขึ้น แต่ไม่ได้แจ้งรายละเอียดว่าทั้งสองฝ่ายเจรจากันเรื่องไหนบ้าง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ล่าสุดในวันนี้ !!
เซอร์เก เรียบคอฟ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของรัสเซีย กล่าวเมื่อวันอังคารว่า การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลวอชิงตัน และเตือนว่า "จากสถานการณ์ในขณะนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเสี่ยงแตกหัก" รวมทั้งบอกด้วยว่า ปัญหานี้ขึ้นอยู่กับว่า สหรัฐฯ เลือกดำเนินนโยบายอย่างไร
เรียบคอฟ บอกอีกว่า เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับรัสเซียต่อไป สหรัฐฯ ควรหยุดใช้วาจาข่มขู่รัสเซีย และหยุดจัดหาอาวุธป้อนให้ยูเครน แต่ขณะนี้มีแนวโน้มแย่ลงสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเนื่องจากความผิดพลาดของสหรัฐฯ
ถ้อยแถลงที่แข็งกร้าวของ เรียบคอฟ มีขึ้นหลังถูกผู้สื่อข่าวซักถามว่า รัสเซียมีแผนจะเรียกเอกอัครราชทูตประจำวอชิงตันกลับประเทศหรือไม่ และสหรัฐฯ จะทำอะไรได้บ้างเพื่อรักษาความสัมพันธ์ของสองประเทศ
โฆษกทำเนียบเครมลินของรัสเซียแสดงความโกรธเคืองอย่างมากทันทีต่อกรณีที่ไบเดน บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ประธานาธิบดีปูตินเป็นอาชญากรสงคราม จากการรุกรานยูเครนตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว โดยตอบโต้กลับทันทีว่า คำพูดนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้และไม่อาจให้อภัยได้
ส่วนหนังสือประท้วงระบุว่า "ถ้อยแถลงดังกล่าวจากประธานาธิบดีอเมริกัน ถ้อยแถลงอันไร้ค่าของผู้นำรัฐระดับสูงเช่นนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอเมริกันใกล้แตกหัก"
ขณะเดียวกัน มีรายงานอ้างการเปิดเผยของ อเล็กซานเดอร์ โนวัก รองนายกรัฐมนตรีของรัสเซียว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะห้ามการส่งออกยูเรเนียมไปสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อรัสเซีย
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา กล่าวในงานสัมมนาทางเศรษฐกิจวานนี้ (22 มี.ค.) ระบุว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียกำลังอยู่ในสภาพ “หลังชนฝา” ในกรณี ยูเครน และนั่นก็ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่ปูตินจะหันไปใช้ อาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพ เพื่อเผด็จศึกครั้งนี้
ขณะที่ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวด้วยว่า รัสเซียกำลังเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการ “จัดฉาก” ครั้งใหม่ “พวกเขาบอกว่ายูเครนมีอาวุธชีวภาพและอาวุธเคมี นั่นเป็นสัญญาณชัดเจนว่ารัสเซียเองกำลังพิจารณาว่าจะใช้สองสิ่งนี้” ไบเดนกล่าว และว่า การกระทำดังกล่าวของรัสเซียจะกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้ที่รุนแรง ซึ่งเขาเชื่อว่า ปธน.ปูตินรู้ดีว่าจะมีผลกระทบที่ร้ายแรงตามมาจากพันธมิตรนาโต (องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ)
การเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ของปธน.โจ ไบเดน นับว่าสอดคล้องกับการออกมาเปิดเผยข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญซึ่งเตือนว่า รัสเซียอาจใช้ “ข้อมูลอากาศ” หรือ “ข้อมูลอุตุนิยมวิทยา”มาใช้ในการวางแผนโจมตียูเครนด้วยอาวุธเคมี
ที่มา SPOKEDARK TV