นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคหรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนก.พ. 2565 เท่ากับ 104.10 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 5.28 % ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบ 13 ปี นับจากเหตุการณ์สงครามอ่าวเปอร์เซียปี 2533 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก สูงขึ้น 1.80 % จาก 0.52 % ในเดือนก่อนหน้า
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อเดือน ก.พ.สูงขึ้น 5.28 % มาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเงินเฟ้อ โดยราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2564 สูงขึ้น 29.22 %จาก 19.22 % โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และค่ากระแสไฟฟ้า ปรับสูงขึ้นค่อนข้างมาก
รวมถึง ราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2564 สูงขึ้น 4.51% จาก 2.39 % ในเดือนก่อนหน้า อาทิ เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ ผักสด อาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้าน และเครื่องประกอบอาหาร ซึ่งปรับสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิตและราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้น
“เงินเฟ้อที่สูงขึ้นไม่ได้เกิดจากภาวะเศรษฐกิจ ค่าเงิน แต่เกิดจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากสถานการณ์วิกฤตรัสเซียและยูเครน โดยสูงสุดในรอบ 13 ปีนับแต่เกิดสงครามอ่าวเอเชียหลังอิรักบุกคูเวต ซึ่งหากราคาน้ำมันยังเคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลก็จะทำให้เงินเฟ้อยังอยู่ระในดับที่สูงต่อไป"นายรณรงค์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สนค.เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังจะใช้นโยบายการเงินในการดูแลเงินเฟ้อได้ ซึ่งหากว่าราคาน้ำมันปรับตัวลงเงินเฟ้อก็จะลดลงตามไปด้วย
จากการที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น 5.28 % ยังมีสาเหตุจาก ฐานราคาในเดือนเดียวกันของปีก่อนต่ำสุดในรอบปี 2564 ซึ่งส่งผลให้การคำนวณอัตราเงินเฟ้อในเดือนนี้สูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สูงขึ้นเพียง1.06% เนื่องจากราคาเนื้อสุกร ผักสด และผลไม้ลดลง รวมทั้ง การสูงขึ้นในอัตราที่น้อยลงของไก่สด ไข่ไก่ และน้ำมันเชื้อเพลิง จากมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ และการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเป็นสำคัญ และเฉลี่ย 2 เดือน (ม.ค.- ก.พ.) 2565 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 4.25%
อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาปรับลดลง ทั้ง ข้าวสารเหนียว ข้าวสารเจ้า ผลไม้สด เสื้อผ้า ค่าเช่าบ้าน และค่าเล่าเรียน จากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาปัญหาราคาสินค้าแพงในช่วงระยะเวลานี้ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินเฟ้อในเดือนนี้จะปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก แต่ยังมีเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจอื่นที่ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจของไทยปรับตัวดีขึ้น ด้านอุปสงค์ ได้แก่ ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ รายได้เกษตรกร ยอดการจัดเก็บภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้น ด้านอุปทาน ได้แก่ กำลังการผลิต และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งเครื่องชี้วัดเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจของไทยกำลังขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดี ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้และเพิ่มกำลังซื้อให้กับภาคธุรกิจและประชาชนได้ในภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน