ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ของเบลารุส เตือนว่า มาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก จะยิ่งผลักดันให้รัสเซียเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 หลังประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย สั่งกองทัพนิวเคลียร์เตรียมพร้อมในระดับสูง โดยอ้าง "ความเห็นที่ก้าวร้าว" จากองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) เขายังเตือนถึงความรุนแรงของสงครามด้วยว่า จะเป็นเสมือน "เครื่องบดเนื้อ" เมื่อเบลารุสส่งกองกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษเข้าช่วยรัสเซียยึดกรุงเคียฟ
การสู้รบในยูเครนมีความตึงเครียดมากขึ้น หลังจากที่ ปูตินได้แถลงผ่านโทรทัศน์ว่า "ประเทศตะวันตก ไม่เพียงแต่ดำเนินการอย่างไม่เป็นมิตรกับประเทศของเราในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของชาติสมาชิกระดับหัวแถวของ NATO ยังออกแถลงการณ์ที่ก้าวร้าวต่อประเทศของเราด้วย" และในการประชุมหารือกับรัฐมนตรีกลาโหม และเสนาธิการทหาร เขาสั่งการให้กองกำลังนิวเคลียร์ของรัสเซียยกระดับการเตรียมความพร้อมให้อยู่ใน combat mode หรือสถานะพร้อมรบ เป็นการตอบโต้ "ถ้อยแถลงที่ก้าวร้าว" ของ NATO และ "การดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นมิตร" ที่เล่นงานทั้งรัสเซียและตัวปูติน
เยนส์ สโตลเตนเบิร์ก เลขาธิการ NATO ได้ชี้ว่า ถ้อยแถลงของผู้นำรัสเซีย และการยกระดับกองกำลังนิวเคลียร์ให้อยู่ในสถานะพร้อมรบ เป็นเรื่องที่อันตราย เพราะหมายถึงว่า อาวุธนิวเคลียร์อยู่ในสถานะพร้อมยิง ทำให้เกิดความวิตกว่าการสู้รบในยูเครนจะรุนแรงและกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ความหมายในทางปฏิบัติตามคำสั่งของปูตินยังไม่มีความชัดเจนว่าครอบคลุมการใช้อาวุธนิวเคลียร์มากน้อยแค่ไหน โดยปกติแล้ว รัสเซียและสหรัฐฯ มีกองกำลังนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ทั้งทางบกและใต้น้ำในการแจ้งเตือนและเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบตลอดเวลา แต่คำสั่งของปูติน อาจเป็นการยกระดับให้เครื่องบินทิ้งระเบิดที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ อยู่ในสภาวะเตรียมความพร้อมด้วย
ฮันส์ คริสเตนเซน นักวิเคราะห์ด้านนิวเคลียร์จาก Federation of American Scientists ให้ความเห็นว่า ยังไม่ชัดเจนว่า ปูตินสั่งให้หน่วยรบนิวเคลียร์เตรียมความพร้อมให้กับเครื่องบินทิ้งระเบิด หรือสั่งให้เรือดำน้ำติดขีนาวุธหัวรบนนิวเคลียร์ออกปฏิบัติการในทะเล ด้วยหรือเปล่า ซึ่งเรือดำน้ำมีขอบเขตการยิงนิวเคลียร์ที่กว้างมาก สามารถยิงได้จากทะเลแทบจะทุกที่ทั่วโลก ซึ่งถ้าเป็นขั้นนั้น อาจกระตุ้นให้สหรัฐฯ เกิดความรู้สึกว่าตัวเองก็อยู่ในอันตรายเหมือนกัน และต้องตอบโต้ ที่จะเป็นการยกระดับวิกฤตให้ลุกลามยิ่งขึ้นได้
เรื่องนี้ ทำให้หลายฝ่ายสะท้อนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่ญี่ปุ่น ทิ้งระเบิดถล่มเพิร์ล ฮาร์เบอร์ และกลายเป็นการดึงสหรัฐฯ เข้าสู่สงคราม และตอบโต้ญี่ปุ่นด้วยการทิ้งระเบิดปรมาณู ถล่มฮิโรชิมาและนางาซากิ ซึ่งท่าทีล่าสุดของรัสเซียที่มีการสั่งให้กองกำลังนิวเคลียร์เตรียมความพร้อมขั้นสูงสุด อาจจะทำให้สหรัฐฯ รู้สึกว่าตัวเองเป็นภัยและเป็นการดึงสหรัฐฯ ให้เข้าร่วมสงครามซึ่งอาจจะลุกลาม กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด นั่นก็คือสงครามนิวเคลียร์