
หลัง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวตอนหนึ่ง ในที่ประชุมสภาฯ วันนี้ (17 ก.พ. 65) เพื่อพิจารณาญัตติการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ โดย เปรียบตนเองเป็น “พระราม” “พระลักษณ์” จากเรื่อง “รามเกียรติ์” และฝ่ายตรงข้ามเป็น “ทศกัณฐ์” พร้อมเตือนให้ระวังจะมีจุดจบแบบ “ทศกัณฐ์” ว่า
"ผมเคยคุยกับท่านครั้งหนึ่ง และบอกให้ผมวางบทบาทให้เหมือนรามเกียรติ์ ผมคงเล่นเป็นบทพระราม พระลักษณ์ อีกฝ่ายต้องเล่นเป็นบททศกัณฐ์ใช่หรือไม่ ผมคิดว่าประเทศชาติคงไม่ใช่แบบรามเกียรติ์ เพราะท้ายสุดรู้อยู่แล้วว่าทศกัณฐ์ตอนท้าย เป็นอย่างไร"
“ต่างคนต่างเล่นคนละบทบาท ท่านให้ผมเป็นพระลักษณ์-พระรามก็แล้วแต่ ท่านอยากเป็นทศกัณฐ์ก็แล้วแต่ ดูหนังดูละครก็ขอให้ย้อนดูคนเล่นละครด้วย ผมก็ถูกท่านดูอยู่ ทุกคนต้องดูตัวละครอื่นๆด้วยมันจึงจะสำเร็จ ประเทศไทยใหญ่กว่ารามเกียรติ์เยอะ”
สำหรับจุดจบ “ทศกัณฐ์” หนึ่งในตัวละครหลักจากเรื่องรามเกียรติ์ เป็นเจ้ากรุงลงกา มีสิบเศียรสิบพักตร์ยี่สิบมือ เหาะเหินเดินอากาศได้ มีอาวุธนานาชนิดครบทุกมือ ไม่มีใครสามารถฆ่าได้เพราะได้ทำการควักดวงใจของตนเอง ออกไปใส่ไว้ในกล่องแก้ว ซึ่งลงอาคมกำกับไว้ โดยฝากให้พระฤๅษีโคบุตร เป็นผู้ดูแลกล่องดวงใจ
ด้วยความที่มีนิสัยเจ้าชู้ ได้ลักพาตัว “นางสีดา” ผู้มีรูปโฉมที่งดงาม ไปจาก “พระราม” ที่เป็นพระสวามี เป็นเหตุให้เกิดศึกสงครามระหว่าง “ฝ่ายพระราม” กับ “ฝ่ายทศกัณฐ์” จนญาติมิตรของฝ่ายทศกัณฐ์ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
สุดท้ายทศกัณฐ์ก็ถูกล่อลวงเอากล่องดวงใจไป ด้วยเล่ห์เพทุบายของ “หนุมาน” ทำให้ทศกัณฐ์เองก็ต้องตายเพราะนิสัยเจ้าชู้และความไม่ยอมแพ้ของตน ซึ่งก่อนตาย ทศกัณฐ์ได้รู้ตัวแล้วว่าต้องตายแน่ แต่ด้วยขัตติยมานะจึงต้องต่อสู้กับพระราม จึงแต่งองค์อย่างงดงาม และถูกศรพรหมมาศของพระรามฆ่าตายในที่สุด