7 กุมภาพันธ์ 2565 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้ไต่สวน สอบสวน และวินิจฉัยว่า เพจเฟซบุ๊กชื่อ อาน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา โพสต์ข้อความในลักษณะที่ว่า ขอลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ เพื่อจะไปเป็นหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทยนั้น เข้าข่ายเป็นการชี้นำหรือครอบงำพรรคเศรษฐกิจไทยหรือไม่
เนื่องจากการที่บุคคลใดจะเข้าไปดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคใดได้นั้น ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับพรรคนั้นๆ นั่นคือ ต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคเสียก่อน แล้วให้ที่ประชุมใหญ่ของพรรคทำการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคหรือหัวหน้าพรรค จึงจะสามารถออกมาประกาศต่อสาธารณชนได้ว่า เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองนั้นๆได้ ซึ่งพรรคเศรษฐกิจไทยก็มีข้อบังคับในลักษณะเช่นนั้น โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ให้การรับรองข้อบังคับไว้เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2563
การที่พล.อ.วิชญ์ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
“ผมกราบขออนุญาต ท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพี่น้องประชาชน ทำการลาออกจากตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เพื่อรับหน้าที่หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย สานต่อนโยบายของพี่ป้อมผู้ซึ่งผมรักเคารพตลอดมาและตลอดไป”นั้น
จึงอาจจะเป็นการชี้นำหรือครอบงำพรรคหรือสมาชิกพรรคดังกล่าวได้ อันเป็นการฝ่าฝืนหรือขัดต่อ มาตรา 29 แห่ง พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 โดยตรง
อย่างไรก็ตามถึงแม้ต่อมา แอดมินเพจดังกล่าวออกมาปฏิเสธว่า พล.อ.วิชญ์ มิได้รู้เห็นต่อข้อความดังกล่าวและได้ลบโพสต์ออกไปแล้วนั้น คำอธิบายมิอาจรับฟังได้ เนื่องจากขัดต่อวิสัยของปุถุชนทั่วไป แม้เจ้าของเพจจะมีแอดมินคอยดูแลให้ แต่ก็ต้องขออนุญาตหรือขอความเห็นชอบจากเจ้าของเพจเสียก่อน ก่อนที่จะโพสต์ข้อความหรือรูปภาพใดๆลงไปในเพจ เพราะมิเช่นนั้นปล่อยให้แอดมินโพสต์ข้อความใดๆไป ก็อาจนำมาซึ่งความเดือดร้อนต่อเจ้าของเพจ เพราะอาจจะเสี่ยงผิด ประมวลกฎหมายอาญา ฐานหมิ่นประมาท หรืออาจมีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้
เรื่องนี้พิสูจน์ได้ไม่ยาก นั่นคือ หากพรรคเศรษฐกิจไทยมีการประชุมใหญ่ เพื่อเลือกตั้งกรรมการบริหารและหัวหน้าพรรคชุดใหม่ในเร็วๆนี้ หาก พล.อ.วิชญ์ ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นหัวหน้าพรรค ก็แสดงให้เห็นโดยชัดว่า โพสต์ดังกล่าวเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการเมือง ในการชี้นำสมาชิกพรรคเศรษฐกิจไทย เพื่อหวังผลในอนาคต แต่ถ้าไม่ได้เป็นก็เชื่อได้ว่าโพสต์นั้นลงผิดจริง
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมาร้องเรียนต่อ กกต.เพื่อขอให้ไต่สวน สอบสวน และวินิจฉัย เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืน มาตรา 29 แห่ง พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 หรือไม่ และการที่แอดมินเพจออกมารับภาคเสธนั้น มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้หรือไม่ นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด