รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ฮึดสู้ "โอมิครอน"

มาตรการที่ออกมาวันนี้ของศบค. ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 มกราคม ชัดเจนว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เลือกแนวทางที่จะอยู่กับโอมิครอน ถ้าพูดถึงไส้ในมาตรการไม่ได้แรงมาก แบบนี้หมายความว่าจะอยู่กับโอมิครอนได้อย่างไรโดยที่ไม่กระทบกิจกรรมต่างๆในด้านเศรษฐกิจ

สรุปคือ 3-4 แนวทาง เดินทางข้ามจังหวัดได้ กลุ่มจังหวัดที่เป็นสีฟ้าคือกลุ่มจังหวัดท่องเที่ยว 8 จังหวัดสามารถ กินดื่มรับประทานอาหารและสุราได้จนถึงสามทุ่ม เพียงแต่ลดลงจากมาตรการเดิมที่กำหนดไว้ห้าทุ่มแต่ก็ยังยืดหยุ่น ส่วนจังหวัดอื่นๆสามารถรับประทานในร้านอาหารได้แต่ห้ามขายสุรา และที่เหลือมีการควบคุมการรวมหมู่กันของผู้คน สะท้อนออกมาว่ามาตรการต่างๆนั้น ศบค. ไม่เน้นในเรื่องการล็อกดาวน์อีกต่อไปและให้คนไทยทุกคนเรียนรู้ ปรับตัวที่จะสู้กับโอมิครอน

ปรับมาตรการป้องกันควบคุมโควิด-19

1. ขยายระยะเวลา work from home ออกไปอีก 14 วัน ต้องไม่กระทบบริการประชาชน การดำเนินงานขององค์กร

2. สถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ให้เปิดในรูปแบบร้านอาหาร ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ก่อน 15 ม.ค.65 และเปิดบริการได้ 16 ม.ค.65

3. พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ กาญจนบุรี กระบี่ ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานี พังงา ภูเก็ต บริโภคสุราในร้านไม่เกิน 21.00 น. และต้องเป็นร้านอาหารที่ผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2 Plus เท่านั้น

***ที่ประชุมมติจะไม่มี Iockdown สำหรับร้านอาหาร จะสามารถนั่งดื่มไม่เกินเวลา 21.00 น. อีกทั้ง ไม่ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด แต่จะขอความร่วมมือในช่วงเวลานี้หากไม่จำเป็นรวมทั้ง ได้มีการพิจารณาเพิ่มพื้นที่ sandbox

ข้อวิตกกังวลก่อนหน้านี้ว่าโอมิครอน ที่ระบาดอย่างหนักและทะลุอย่างรวดเร็วนั้นจะนำไปสู่การล็อกดาวน์ คลายตัวลงทันที ตัวเลขอยู่ในการประเมินของศบค. อยู่แล้วว่ามีแนวโน้มที่จะเห็นหลักหมื่น ตอนนี้ตัวเลขขึ้นไป 7,000 กว่าราย

เป็นยุทธวิธีที่ไม่บอกว่าผู้ติดเชื้อโอมิครอนจำนวนเท่าไหร่ เราเดาว่าโอมิครอนมีมากกว่าสายพันธุ์เดลต้าแล้ว โอมิครอนที่กำลังระบาดอยู่นี้ในทางการแพทย์ซึ่งอยู่ในศบค.ชุดใหญ่ เห็นตรงกันแล้วว่า ไม่อันตรายต่อชีวิต อย่างไรก็ตามในแง่ของกระบวนการด้านสุขภาพ ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก บอกว่า แม้ว่าโอมิครอนจะรุนแรงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเดลต้า โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับวัคซีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรจัดประเภทว่ามันไม่รุนแรง เชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนมีความคล้ายคลึงกับเชื้อโควิดสายพันธุ์อื่นๆ ตรงที่กำลังทำให้มีผู้ป่วยติดเชื้อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และทำให้มีผู้เสียชีวิตได้เช่นกัน ยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ดังกล่าว เปรียบเหมือนคลื่นสึนามิที่รุนแรงและรวดเร็ว ซึ่งทำให้ระบบสาธารณสุขทั่วโลกต้องเผชิญกับภาวะตึงตัว

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าโรคระบบทางเดินหายใจ ร.พ.วิชัยยุทธ ออกมาบอกว่า การติดเชื้อโอมิครอนเปรียบเสมือนการได้รับวัคซีนธรรมชาติ กระตุ้นภูมิต้านทานได้ดีกว่าวัคซีนทุกชนิดในปัจจุบัน ที่สุดมนุษย์ก็จะมีภูมิคุ้มกันหมู่ หยุดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ภายในปีนี้โรคโควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น ผมแนะนำให้คนสูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัว 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ ยังไม่ได้วัคซีนเข็มแรกรีบไปรับโดยด่วน คนที่ถึงเวลาฉีดเข็มกระตุ้น รีบไปรับวัคซีนก่อนที่คนส่วนใหญ่ในประเทศจะรับเชื้อโอมิครอนใน 1-2 เดือนข้างหน้า

มีการประเมินจากหมออีกท่านหนึ่งหมอวสันต์บอกว่าเด็กๆทั้งหลาย จากนี้ไปจะเจอกับไวรัสโอมิครอนที่จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นแน่นอน

ความพร้อมเตียงรองรับผู้ติดเชื้อ COVID-19 (Omicron) ทั่วประเทศ

ประมาณการเตียงรองรับผู้ติดเชื้อที่มีความรุนแรง (11,000 เตียง)

• เตียงระดับ 2.2 จำนวน 6,000 เตียง

• เตียงระดับ 3 จำนวน 5,000 เตียง

ผู้ติดเชื้อ Omicron พบอาการความรุนแรง 1.5% เตียงรองรับการระบาดเป็นจำนวน 52,300 คน/ วัน *ผู้ติดเชื้อ Omicron ที่มีอาการรุนแรง นอน รพ.14 วัน เตียงรองรับผู้ติดเชื้อ Omicron ที่มีอาการรุนแรงได้ 785 คน/ วัน

ยาสำรองฟาวิพิราเวียร์ กว่า 15 ล้านเม็ด อัตราใช้ปัจจุบัน 1.8 แสนเม็ด/สัปดาห์ ประมาณการใช้ได้อย่างน้อย 2 เดือน องค์การเภสัชกรรมสำรองวัตถุดิบและผลิตยาได้อีก 60 ล้านเม็ด สำรองยาเรมเดซิเวียร์ กว่า 44,000 ไวอัล คาดว่ายาโมลนูพิราเวียร์-แพกซ์โลวิดเข้าไทยประมาณ ก.พ. 2565 

ระบบดูแลรักษา

ให้ยาฟาร์วิพิราเวียร์ภายใน 72 ชั่วโมง ผู้ป่วยในระบบ HI สถานพยาบาลจะติดต่อกลับใน 6 ชั่วโมง หลังทราบผลการติดเชื้อ เตรียมความพร้อม ระบบดูแลในชุมชนหรือ CI ทุกจังหวัดเตรียมพร้อมแล้ว อุปกรณ์และเวชภัณฑ์ ส่วนกทม.มีการจัดตั้งในทุกเขต

ก่อนหน้านี้ประธานกรรมการหอการค้าไทยได้ออกมาบอกว่า ไม่เห็นด้วย หากภาครัฐจะยกระดับมาตรการด้วยการล็อคดาวน์ ทุกกิจกรรมของประเทศ เพราะสถานการณ์ในวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับวัคซีน ต่างจากกลางปีที่แล้วที่การฉีดวัคชีนและปริมาณวัคซีนยังมีน้อยและไม่เพียงพอ

แสดงว่าการตัดสินใจของศบค.สอดรับกันกับเอกชน คนไทยทุกคนต้องเรียนรู้ร่วมกันที่จะต่อสู้และป้องกันตัวเองจากการแพร่ระบาดของไวรัสโอมิครอน แต่ในขณะเดียวกันภาครัฐก็ละเลยไม่ได้ถ้าปริมาณการติดเชื้อเยอะมากขึ้น ไม่มีใครอยากพักรักษาตัวอยู่ภายใต้เงื่อนไข Home isolation

ที่มา เนชั่นอินไซต์ โอ-บากบั่น บุญเลิส , วี-วีระศักดิ์ พงศ์อักษร