รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต เปิดเผยว่า การเก็บภาษีการลงทุนในตลาดทุนนั้นมีความจำเป็นเพื่อบรรเทาปัญหาฐานะทางการคลัง และ กลุ่มนักลงทุนในตลาดหุ้นทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศอยู่ในฐานะทางเศรษฐกิจที่จะเสียภาษีได้ ขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโควิดและต้องการมาตรการคลังช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติม นอกจากนี้ รัฐบาลยังเก็บภาษีพลาดเป้าในปี พ.ศ. 2564 มากกว่าสามแสนล้านบาท การก่อหนี้สาธารณะเพิ่มเติมเรื่อยๆจะนำมาสู่ความเสี่ยงวิกฤติฐานะการคลังในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีการลงทุนในตลาดทุนนั้นมีทั้งข้อดีข้อเสีย ควรมีการศึกษาวิจัย และ เปิดให้มีการทำประชาพิจารณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วยก็จะทำให้ได้นโยบายหรือมาตรการที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยมากที่สุด และ ควรเก็บจากกำไรจากลงทุน มากกว่า เก็บจากธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์
หากเก็บภาษีในอัตราที่เหมาะสมจะไม่ทำให้สภาพคล่องหรือธุรกรรมในตลาดทุนลดลงมากนัก หากกระทรวงคลังตัดสินใจเก็บภาษีจากธุรกรรมการซื้อขายต่อเดือนเกิน 1 ล้านที่อัตรา 0.1% คาดว่า กระทรวงการคลังน่าจะมีรายได้จากภาษีไม่ต่ำกว่า 15,000-20,000 ล้านบาทแต่จะกระทบสภาพคล่องในตลาดหุ้นและธุรกรรม Trading หากกระทรวงการคลังไม่เก็บจากธุรกรรมซื้อขายตามที่ผมเสนอและเก็บเป็น Capital gains และเก็บในอัตรา 0.05% ในการลงทุนที่ถือครองน้อยกว่าหนึ่งไตรมาส รายได้จากภาษีจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3,000-8,000 ล้านบาทและรายได้อาจไม่แน่นอนขึ้นกับภาวะตลาด จะเก็บได้มากกรณีเป็นทิศทางตลาดหุ้นขาขึ้น หากเป็นตลาดหุ้นขาลงและนักลงทุนส่วนใหญ่ขาดทุน หรือ สัดส่วนการลงทุนเป็นการลงทุนระยะยาวกว่าหนึ่งไตรมาส รัฐบาลอาจจะไม่ได้ภาษีมากนัก
แต่กรณีการเก็บจากกำไรจากการลงทุนจะไม่กระทบสภาพคล่องตลาดและธุรกรรมการซื้อขายไม่มาก และทำให้การพัฒนาตลาดทุนสามารถเดินหน้าต่อไปได้ดีกว่ากรณีเก็บจากธุรกรรมซื้อขาย อย่างไรก็ตามหากเก็บภาษีในอัตราสูงไม่ว่า เก็บจากฐานธุรกรรมซื้อขาย หรือ ฐานกำไร ล้วนทำให้สภาพคล่องและธุรกรรมลดลงมากทั้งสิ้นและอาจทำให้การลงทุนในตลาดการเงินไทยถูกโยกย้ายไปประเทศอื่นในภูมิภาค อย่างสิงคโปร์แทน เมื่อพิจารณาเรื่องเม็ดเงินรายได้ภาษีจากการเก็บภาษีตลาดทุน เพียงแค่ประเทศประหยัดเงินงบประมาณจากการซื้ออาวุธหรือการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหรือกำกับไม่ให้เกิดการรั่วไหลของงบประมาณก็สามารถมีเงินในระดับหลายหมื่นล้านบาทโดยไม่ต้องเก็บภาษีตลาดทุนเพิ่มแต่อย่างใด ภาษีตลาดทุนอาจมีประโยชน์ในแง่มุมการลดความเหลื่อมล้ำมากกว่าการที่รัฐจะมีรายได้จำนวนมากจากภาษีประเภทดังกล่าว