ภาษีโซเดียมที่ตอนแรกคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปีนี้ แต่ถูกเลื่อนออกไปและอาจจะดำเนินการได้ในปีหน้า โดยการจัดเก็บจะเป็นรูปแบบขั้นบันได มีระยะเวลาดำเนินการ 1-2 ปี เพื่อให้อุตสากรรมมีการปรับตัว รายงานอ้างการเปิดเผยของนายแพทย์สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม หนึ่งในองค์กรเครือข่ายของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ด้วยว่าคนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ย 3,636 มิลลิกรัมต่อวัน หรือราว 1 ช้อนชาครึ่ง สูงเกินกว่าค่ากำหนดขององค์การอนามัยโลก (WHO) เกือบ 2 เท่า (2,000 มิลลิกรัม) เขาบอกด้วยว่า "มันเป็นวัฒนธรรมของเรา ในการรับประทานอาหารรสเค็ม พวกเนื้อสัตว์หมักและน้ำปลา"
ราว 10% ของประชากร หรือมากกว่า 7 ล้านคน ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นผลจากการบริโภคโซเดียมสูง ส่วนโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเค็ม รวมทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคเบาหวานที่พบได้ในราชอาณาจักรไทย
นายธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย และประธานเครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรังทุกประเภท ให้ความเห็นว่าสถานการณ์ในปัจจุบันกำลังน่าเป็นห่วง "ไม่เพียงแต่จำนวนผู้ที่ต้องฟอกไตเพิ่มขึ้นเท่านั้น เรายังเห็นผู้คนจำนวนมากขึ้นที่มีภาวะไตวายระยะสุดท้าย" ขณะที่เป้าหมายของรัฐบาลไทยคือการลดการบริโภคเค็มแต่ละวันให้ได้ 20% ภายใน 10 ปี ซึ่งสอดคล้องกับภาษีน้ำตาลที่บังคับใช้เมื่อปี 2560 นำไปสู่การลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มรสหวาน
หลายประเทศทั่วโลก เช่น ฮังการี โปรตุเกส และฟิจิ ได้จัดเก็บภาษีอาหารแปรรูป หรืออาหารบรรจุหีบห่อที่มีปริมาณเกลือสูง ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ใช้กลยุทธ์การลดโซเดียม เช่น การติดฉลากโภชนาการ การศึกษาผู้บริโภค และวางกฎระเบียบของอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมการปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ ผู้สังเกตการณ์และผู้สันทัดกรณีให้ความเห็นว่า ภาษีโซเดียมจะเผชิญความท้าทาย โดยยกตัวอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งถือเป็นอาหารหลักในประเทศไทย ซึ่งแต่ละห่อก็บรรจุโซเดียมถึง 80% ของปริมาณที่ WHO แนะนำให้บริโภคในแต่ละวันอยู่แล้ว
นักเทคโนโลยีด้านอาหารให้ความเห็นว่า "การทำอาหารแบบไทย ๆ" ทำให้ยากต่อการโน้มน้าวให้ผู้ผลิต ปรับสูตรผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว เพราะอาจกระทบรสชาติและยอดขาย บางบริษัทอาจยอมจ่ายภาษีโซเดียมแทนการปรับสูตร ถ้าลูกค้ายังคงยืนยันที่จะซื้อสินค้าที่มีปริมาณโซเดียมสูง แต่รสชาติเดิม ๆ ต่อไป