6 ธันวาคม 2564 ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีการ สุ่มเก็บตัวอย่างเชื้อผู้ที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยมาตลอดทุกสัปดาห์
โดยกรณีชายวัย 35 ปี สัญชาติอเมริกา ที่เดินทางมาจากสเปนเข้าประเทศไทยในรูปแบบ เทสแอนด์โก เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และทำการเก็บตัวอย่างเชื้อพบผลบวก จากนั้นได้เก็บตัวอย่างเชื้อเพิ่มเติมเพื่อหาสายพันธุ์ พบตำแหน่งกลายพันธุ์สอดคล้องกับตำแหน่งที่พบใน "โอมิครอน" ซึ่งการเก็บตัวอย่างเชื้อครั้งแรก ยังอยู่ในช่วงที่เชื้อยังน้อยอยู่ เชื้อไม่สมบูรณ์ จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างเชื้ออีกรอบในวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา พบว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นสายพันธุ์โอมิครอน
นพ.ศุภกิจ อธิบายเพิ่มเติมว่า ผลการทดสอบตัวอย่างครั้งที่ 1 วันที่ 30 พฤศจิกายน พบความเข้ากันได้กับจีโนมของโอมิครอน ร้อยละ 99.92 แต่ยังต้องตรวจหาเชื้อเพื่อยืนยันรอบที่ 2 ซึ่งได้เก็บตัวอย่างไปเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม เพื่อให้ได้ข้อมูลจีโนมที่สมบูรณ์ โดยดำเนินการร่วมกับเครือข่าย ได้แก่ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์และศูนย์ความร่วมมือไทยสหรัฐด้านสาธารณสุขในการร่วมยืนยันผลในครั้งนี้ด้วย
ปัจจุบัน ภาพรวมสายพันธุ์โควิดที่พบในประเทศไทยยังคงเป็นสายพันธุ์เดลต้า ร้อยละ 99.87 โดยในช่วงเปิดประเทศได้มีการเฝ้าระวังนักเดินทางที่เข้ามาในประเทศไทย จากการสุ่มตัวอย่างตรวจเชื้อ พบว่ายังคงเป็นสายพันธุ์เดลต้า
การตรวจหาสายพันธุ์ จะเป็นการสุ่มตรวจในกลุ่มที่คาดว่าจะเจอสายพันธุ์ใหม่ เช่นการเกิดคลัสเตอร์ โดยไม่รู้สาเหตุ บริเวณชายแดน หรือการเดินเข้ามายังต่างประเทศ
การตรวจหาสายพันธุ์มีอยู่ 3 ระดับ เร็วที่สุดคือตรวจ RT-PCR แต่เป็นการตรวจหาตำแหน่งยีนส์เฉพาะ ใช้ระยะเวลา 1-2 วัน จากนั้นหากมีการสงสัยว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่จะต้องมีการพิสูจน์ให้แน่ชัดหรือดูรหัสพันธุกรรมของไวรัสบางส่วนหรือทำด้วยวิธีโฮจีโนมการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวของไวรัส ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 5-7 วัน หากจะเร่งตรวจสอบให้แน่ชัดก็จะมีการเร่งระยะเวลาให้เร็วขึ้น ซึ่งสายพันธ์โอมิครอน เป็นการกลายพันธุ์หลากหลายตำแหน่ง เป็นลูกผสมบางส่วนเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในสายพันธุ์อัลฟ่า สายพันธุ์เบต้า ทั้งนี้ หากการตรวจหาสายพันธุ์แล้วพบทั้ง อัลฟ่า เดลต้า ก็ให้สงสัยว่าอาจจะเป็น "โอมิครอน" แต่เพื่อให้มีความชัดเจนก็ต้องมีความจำเป็นตรวจเพิ่มเติม
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน- 4 ธันวาคมจากการสุ่มจำนวนตัวอย่าง และผลตรวจหาสายพันธุ์ผู้เดินทางเข้าไทย ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์เดลต้า
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ย้ำว่า ประชาชนยังคงมาตรการสาธารณสุขตลอดเวลาและอย่ากังวลกับสายพันธุ์ โอมิครอน จนเกินไปเนื่องจากขณะนี้การแพร่ระบาดที่อยู่รอบตัวเราเป็นสายพันธุ์ เดลต้า และคาดว่าหากมีการระบาดของสายพันธุ์ โอมิครอน ก็จะใช้ระยะเวลาอีกสักระยะ
ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า จากกระแสข่าวที่มีการสงสัย 2 กรณี รายแรกคือหญิงแอฟริกา ที่พบติดเชื้ออยู่ที่สถาบันบําราศนราดูร เบื้องต้น ไม่ได้เป็นสายพันธุ์โอมิครอน
และอีกกรณี รายที่ยืนยันรายแรกว่าเป็นสายพันธุ์โอมิครอน เป็นชายอายุ 35 ปี สัญชาติอเมริกาอาศัยอยู่ในสเปน 1 ปี เป็นนักธุรกิจ ไม่มีอาการ เดินทางเข้าประเทศไทยวันที่ 29 พฤศจิกายน โดยในวันที่ 28 พฤศจิกายน ได้มีการตรวจเชื้อก่อนเดินทางเข้าไทยและไม่พบเชื้อ ขณะถึงประเทศไทยได้มีการตรวจเชื้ออีกครั้ง พบเชื้อวันที่ 1 ธันวาคม
โดยได้มีการส่งเคสยืนยันไปที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ขณะนี้อาการผู้ป่วยมีน้อยมาก ไม่มีประวัติโรคประจำตัวและไม่มีการตรวจพบเชื้อโควิดมาก่อนเดินทางเข้าไทย
จากการสอบสวนโรคเบื้องต้น รายนี้ไม่มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงมี แต่ผู้สัมผัสเสียงต่ำระหว่างนั่งเครื่องบินใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ระหว่างอยู่บนเครื่องบินในแถวที่นั่งชายคนนี้ได้นั่งคนเดียว.
สำหรับเชื้อโควิคกลายพันธุ์โอมิครอน พบว่าแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์ที่ผ่านมา 2 ถึง 5 เท่า / ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรืออาการน้อยคล้ายโรคไข้หวัด ดยผู้ติดเชื้อที่รายงานในต่างประเทศส่วนใหญ่ไม่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อโอมิครอนเสียชีวิต
สำหรับประเทศไทย ได้มีการเร่งฉีดวัคซีนโควิดให้ครอบคลุม ยกระดับการเฝ้าระวังช่องทางเข้าออกประเทศและสถานที่ท่องเที่ยว ทำการสุ่มตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยไข้หวัดที่เป็นคลัสเตอร์ ส่งตัวอย่างเชื้อที่พบจากผู้เดินทางหรือรายที่น่าสงสัยตรวจหาสายพันธุ์โอมิครอน ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทันที
จากการติดตามโอมิครอนทั่วโลก องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ยังไม่มีการรายงานผู้เสียชีวิตจากสายพันธุ์โอมิครอนแม้แต่รายเดียว ตรงกับหลายหน่วยงานที่ให้ข้อมูลถึงความรุนแรงของสายพันธุ์โอมิครอน จะน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้าค่อนข้างมาก
ส่วนความกังวลในการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า ยังคงเป็นการติดเชื้อผ่านละอองฝอยน้ำลายเป็นหลัก ยังไม่มีข้อมูลว่าเป็นการติดเชื้อผ่านทางอากาศ