ขณะที่ข้อมูลจากทาง สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ก็ได้เผยรายงานว่า สภาบัญชาการ สถานการณ์โควิด-19 แห่งชาติประชุมกันในวันนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ โดยได้เลื่อนการประชุมดังกล่าวให้เร็วขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ในวันพรุ่งนี้ (28 พ.ย.)
ทางด้าน ดร.ราเบีย จอห์นสัน รองผู้อำนวยการของโครงการวิจัยและนวัตกรรมชีวการแพทย์ของ SAMRC ระบุในแถลงการณ์ว่า
“นับตั้งแต่ต้นเดือน ไวรัสโควิด-19 ในน้ำเสียอยู่ที่ระดับต่ำหรือไม่สามารถตรวจพบ แต่ในขณะนี้ เราตรวจพบความเข้มข้นในระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 3 ซึ่งพุ่งสูงสุดในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี่เอง”
โดยในวันนี้ ทางกลุ่ม Business for South Africa ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ ได้ออกมาเรียกร้องรัฐบาลให้ออกข้อจำกัด สำหรับประชาชนที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ครบจำนวนเรียบร้อยแล้ว ในการเข้าใช้สถานที่ทำงานและในสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน อาทิ ร้านอาหารในอาคารและบริการเท็กซี่
ทางด้าน "เคที โฮชูล" ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อเตรียมรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมีทั้งโควิดสายพันธุ์เดลตา และสายพันธุ์ใหม่ที่น่าเป็นห่วงอย่าง โอไมครอน ที่เธอบอกว่า แม้ตอนนี้ ยังไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด สายพันธุ์โอไมครอนในนิวยอร์ก แต่เธอเตือนว่า มันกำลังมาแน่ๆ จึงต้องเตรียมตัวรับมือให้พร้อม
นิวยอร์ก กำหนดเริ่มบังคับใช้ภาวะฉุกเฉิน นับตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.นี้ จะช่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐบาล สามารถเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การจัดเตรียมยา การเพิ่มจำนวนเตียงในโรงพยาบาล การเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ และการจำกัดจำนวนคนไข้ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ได้มีอาการรุนแรงภายในโรงพยาบาล เพื่อให้โรงพยาบาลมีเตียงในการรองรับผู้ป่วยโควิดมากขึ้น
โฮชูล ยังขอให้ประชาชนชาวนิวยอร์ก ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10% ให้รีบไปฉีดวัคซีนอย่างเร่งด่วน ส่วนใครที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว ก็ควรไปฉีดเข็มที่ 3 ซึ่งถือเป็นวัคซีนบูสเตอร์เพื่อเสริทและเพิ่มภูมิคุ้มกัน
สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศล่าสุด ที่เพิ่งประกาศห้ามนักเดินทางจากแอฟริกาใต้ และประเทศใกล้เคียงเดินทางเข้าสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน