svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ภูมิภาค

หญิงวัย 43 ปีร่ำไห้อยากฉีดวัคซีนแต่ไม่มีบัตรประชาชน

17 พฤศจิกายน 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

หญิงวัย 43 ปี ร่ำไห้ยืนยันเป็นคนไทย ตั้งแต่เกิดมากลับไม่มีบัตรปชช. วอนหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือ อยากฉีดวัคซีนแต่ฉีดไม่ได้

ผู้สื่อข่าวได้รับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรม และได้ลงพื้นที่ไปที่บ้านเลขที่ 80 หมู่ที่ 6 ตำบลนายางกลัก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ได้พบกับนางบุปผา วิกล อายุ 43 ปี พร้อมกับสามีคือนายแพงสี นักรบ อายุ 49 ปี ผู้เป็นเจ้าบ้าน และมีบุตร(ลูก) อีก 2 คนที่กำลังอยู่ในวัยเรียน

 

ผู้ร้องเรียนอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าว ใชีชีวิตในบบเรียบง่าย ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรและรับจ้างทั่วไป แต่ทว่า ในการใช้ชีวิตของผู้เป็นแม่ พบว่าในทุกวันนี้ ตัวเธอเองยังไม่มีบัตรประชาชน หรือกระทั่งว่าไม่สามารถยืนยันระบุตัวตนได้ว่า “เธอเป็นคนไทย" 

 

หญิงวัย 43  ปีร่ำไห้อยากฉีดวัคซีนแต่ไม่มีบัตรประชาชน

 

นางบุปผา วิกล เผยให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ถึงวันนี้เธออายุ 43 ปีแล้ว แต่ย้อนกลับไปเมื่อคืนวันแรกเกิด ตัวเธอเองนั้นอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะยากจน มีพี่น้องที่เป็นมารดาคนเดียวกันรวม 5 คน ซึ่งพี่น้องทุกคนได้มีการแจ้งเกิดและมีเอกสารการเป็นไทยทุกคนพื้นฐานครอบครัว

 

ตนเองต้องเร่ร่อนย้ายถิ่นฐานตามการใช้แรงงานของผู้เป็นพ่อและแม่ไปตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งมีพื้นเพเดิม เป็นชาวอำเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา จากนั้นครอบครัวของเธอได้พากันโยกย้ายถิ่นฐานไปที่จังหวัดหนองคาย โดยปัจจุบันนี้ได้แบ่งเขตการปกครองเป็น "จังหวัดบึงกาฬ"

 

หญิงวัย 43  ปีร่ำไห้อยากฉีดวัคซีนแต่ไม่มีบัตรประชาชน

และเพิ่งทราบว่า ตนเองไม่ได้แจ้งเกิดและไม่มีเลขบัตรประชาชนในทะเบียนราษฎร ตอนที่เข้าโรงเรียนที่จังหวัดหนองคายแต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เนื่องจากมีการเข้าเรียนได้ตามปกติ และได้ย้ายมาเรียนต่อที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี

 

จนกระทั่งตัวเธอนั้นจบการศึกษาชั้นระดับ ป. 6 แล้วเรื่องนี้ก็กลับมาสร้างความหนักใจต่อเธอขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากทางโรงเรียนไม่สามารถออกวุฒิการศึกษาให้ได้ เนื่องจากการเข้าเรียนของเธอนั้น เป็นเพียงการฝากเรียน เพื่อให้ได้มีการศึกษา แต่ด้วยระบบราชการที่ตัวเธอเองไม่มีบัตรประชาชนหรือทะเบียนราษฎรใดๆ จึงไม่สามารถออกวุฒิการศึกษาให้ได้

 

ทางด้านนางบุปผา วิกล ยอมรับว่าในเรื่องของใบเกิดของเธอนั้น การใช้ชีวิตในครอบครัวก็ไม่ได้ทำให้เธอต้องคิดถึงว่ามีความจำเป็นแค่ไหน จนกระทั่งบางครั้งได้สอบถามไปยังมารดาของตน ก็ยังได้คำตอบว่าแม่เคยที่จะไปทำแล้ว แต่ว่าไม่มีค่าใช้จ่ายในเวลานั้น จึงปล่อยผ่านเรื่องนี้มาจนปัจจุบันนี้

 

หลังจากนั้น เมื่อเธอมีครอบครัว โดยสามีของเธอนั้นเป็นคนจังหวัดชัยภูมิ และได้ย้ายถิ่นฐานเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ จนเธอได้ตั้งท้องลูกชายคนแรก จึงกลับมาอยู่ที่บ้านของสามีที่จังหวัดชัยภูมิ และได้ฝากครรภ์ไว้ที่สถานีอนามัย หรือ รพ.สต จนกระทั่งครบกำหนดคลอด

 

เธอก็เข้ารับการทำคลอดที่โรงพยาบาลเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ตัวเอกสารในการฝากครรภ์และการทำคลอดที่โรงพยาบาล มีเพียงผู้เป็นบิดาที่มีเอกสารครบตามทะเบียนราษฎร์ แต่ตัวผู้เป็นแม่หรือตัวเธอเองนั้น มีเพียงแค่ชื่อที่เป็นมารดาแต่ไม่มีเลขบัตรประชาชนใดๆ

 

“ยอมรับว่าการคลอดลูกในครั้งนั้น ได้มีค่าใช้จ่ายในการคลอด ประมาณ 3,000 - 4,000 บาท และได้ใช้ชีวิตที่บ้านสามี ที่จังหวัดชัยภูมิเรื่อยมาจนกระทั่ง มีบุตรคนที่สองเป็นลูกสาว โดยการเดินเรื่องฝากครรภ์รวมถึงการทำคลอดก็เป็นไปอย่างลูกชายคนแรก แต่ด้วยค่าใช้จ่ายในช่วงนั้น ที่ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร จนกระทั่งคลอดลูกคนที่ 2 ปัจจุบันนี้ยังคงค้างค่าทำคลอดไว้กับทางโรงพยาบาลเทพสถิต1,500 บาท จึงเป็นคำถามในใจมาจนทุกวันนี้ว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้เป็นคนไทยอย่างแท้จริงได้เมื่อไหร่ แต่ก็ยังไม่มีช่องทางที่จะสามารถดำเนินการได้จึงใช้ชีวิตเรื่อยมาจนกระทั่งวันล่าสุดสามีได้มีรายชื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันcovid19 (โควิด-19) โดยตัวเองนั้นก็ได้เดินทางไปด้วย โดยหวังว่าอาจจะได้รับการฉีด วัคซีนเหมือนกับคนอื่นเช่นกัน แต่ผลไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะไม่สามารถรับการฉีดวัคซีนได้" นางบุปผา กล่าว 

 

เนื่องจากเธอไม่มีบัตรประชาชนหรือเลขบัตรประชาชนใดๆ เลย แต่เป็นจังหวะที่ดี ที่ในวันนั้นทางด้านท่านนายอำเภอเทพสถิต ได้เดินทางมาดูการปฏิบัติงานการฉีดวัคซีน จึงได้รับทราบเรื่องราวของนางบุปผา และได้มีการแนะนำให้นางบุปผา และครอบครัวเดินทางไปที่ว่าการอำเภอ เพื่อยื่นเรื่องดำเนินการตามขั้นตอนในวันถัดมา

 

นางบุปผา ยังเล่าต่ออีกว่า หลังจากที่ไปพบเจ้าหน้าที่ที่อำเภอ ในวันนั้นไม่ได้พบกับท่านนายอำเภอ ทางผู้นำหมู่บ้านจึงพาเข้าพบกับปลัดฝ่ายทะเบียน ก็ได้เพียงรับฟังเรื่องราวและขอเบอร์ติดต่อกลับไว้ ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับใดๆ กลับมา เธอเองยอมรับว่า การเดินทางไปที่อำเภอในวันนั้น สร้างความดีใจตื้นตันใจให้กับตัวเองมาก ด้วยความหวังที่เธอเองนั้น จะได้เป็นคนไทยเช่นคนอื่นเสียที แต่ต้องรอมาจนถึงวันนี้ ถือเป็นการรอคอยที่ยาวนานสำหรับตัวเธอ 

 

นางบุปผา กล่าวกับผู้สื่อข่าวทั้งน้ำตาว่า ตัวเองต้องการเป็นคนไทยที่มีบัตรประชาชนและมีสิทธิ์ ในความเป็นคนไทยเหมือนคนอื่นเช่นกัน เพื่อลดแรงกดดัน จากคนรอบข้าง ที่เธอเองต้องได้ยินตลอดมาว่า เป็น “คนเถื่อน”

 

ผู้สื่อข่าวเดินทางต่อไปที่ว่าการอำเภอเทพสถิต เข้าพบกับนายสิทธาภู่เอี่ยม นายอำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ได้สอบถามถึงเรื่องนี้ว่า ข้อมูลจากสำนักงานทะเบียนและข้อมูลจากอำเภอ พบว่าข้อมูลจากผู้ร้องเรียนรายนี้ สามารถเพิ่มชื่อได้โดย สำนักทะเบียนได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเพิ่มชื่อ โดยการยืนยันผลตรวจ DNA เพราะเท่าที่ทราบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ผู้ร้องรายนี้ ยังคงมีโอกาสที่จะทำการพิสูจน์ผล DNA กับญาติพี่น้องที่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้

 

โดยการดำเนินการสำหรับผู้ร้องรายนี้ก็จะสามารถดำเนินการโดยใช้เวลาไม่นานโดยผู้ร้องสามารถเข้ามายื่นคำร้องขอทำเอกสาร เพื่อที่ทางอำเภอจะได้รวบรวมพยานหลักฐาน ออกเอกสารทำการส่งต่อไปยังมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ได้ทำ MOU ไว้กับกรมการปกครอง ในการตรวจสอบพิสูจน์ DNA โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการตรวจใดๆ ทั้งสิ้น ก็จะมีเพียงค่าใช้จ่ายในส่วนของการเดินทางและค่ากินอยู่เท่านั้น

 

หลังจากได้รับผลการตรวจซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณไม่เกิน 3 เดือน ก็จะสามารถให้ผู้ร้องขอมีบัตรประชาชน นำผลตรวจนั้นกลับมายืนยันหากพบว่าผลตรวจนั้นการพิสูจน์ DNA พบว่าเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือเป็นญาติพี่น้องกันจริง ทางอำเภอก็จะสามารถเพิ่มชื่อให้ได้โดยทันที และสามารถที่จะทำให้ผู้ร้องรายนี้ได้กลับมาใช้สิทธิ์ในความเป็นคนไทย อย่างเต็มร้อยต่อไป 

 

หญิงวัย 43  ปีร่ำไห้อยากฉีดวัคซีนแต่ไม่มีบัตรประชาชน

ภาพข่าวโดย : สุทธิพงศ์ เสฎฐรังสี 

logoline