ปลัดกระทรวงพลังงาน กุลิศ สมบัติศิริ ระบุ ได้เสนอสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาวงเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท จำนวน 2,000 ล้านบาทแล้ว เพื่อคงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มสำหรับถังขนาด 15 กิโลกรัม ให้อยู่ที่ 318 บาทต่อถังได้ถึงประมาณวันที่ 31 ม.ค.2565 ซึ่งการขอกู้เงินแยกบัญชีจะไม่รวมค่าขนส่ง แต่จะช่วยเฉพาะก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน และต้องมีการสร้างกลไกว่าภาคครัวเรือนจะดูแลอย่างไร
ทั้งนี้ สถานการณ์ราคาน้ำมันยังคงผันผวน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนต.ค. 2564 เหลือเงินกองทุนอยู่ 7,144 ล้านบาท และไม่เพียงพอที่จะมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้ใช้ก๊าซ แอลพีจีภาครัวเรือนอีกต่อไป โดยตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อพยุงราคาก๊าซหุงต้มแอลพีจี ภาคครัวเรือน (ไม่รวมค่าขนส่ง) ไปแล้วประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท ดังนั้น คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) จึงเห็นสมควรที่จะแยกบัญชีระหว่างเงินช่วยเหลือน้ำมันกับก๊าซแอลพีจีออกจากกัน
อย่างไรก็ตาม หากจำนวนเงินที่กู้มาหมด และราคาก๊าซยังมีราคาที่สูงอยู่ จะต้องมาเริ่มพิจารณาว่าจะขยับราคาขึ้นอย่างไร โดยจะค่อยๆ ขยับขึ้นเป็นขั้นบันได เพราะช่วยมา 2 ปีกว่าแล้ว ยืนยันว่าจะไม่ขึ้นทีเดียว 70-80 บาทแน่นอน แต่จะค่อยๆ ขยับให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม เพื่อไม่กระทบต่อประชาชนภาคครัวเรือน
นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ออกบัตรสวัสดิการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจริง ถือเป็นมาตรการที่ช่วยเหลือเสริมเข้าไปด้วย โดยจะดูให้ครบวงจรโดยเฉพาะคนที่ถือบัตรสวัสดิการ ถือเป็นแผนวิกฤติในส่วนที่กระทรวงพลังงานรับผิดชอบ