ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่า ฝ่ายต่อต้านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะใช้ประเด็นนี้ปลุกระดมขยายวงกว้าง เพื่อเป้าหมายจัดชุมนุมใหญ่ ซึ่งจะมีทั้งเวทีชุมนุมขององค์กรเครือข่ายกระจายไปในพื้นที่ต่างๆ และการรวมตัวเป็นม็อบใหญ่
โดยความเคลื่อนไหวที่ฝ่ายความมั่นคงกำลังจับตาเป็นพิเศษ คือ ทันทีมีประเด็นเรื่องคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็เริ่มมีการปล่อยข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูงเพิ่มขึ้นทันที เพื่อปลุกกระแสความเกลียดชังและหวังให้มวลชนมารวมตัวกันมากๆ โดยกลุ่มที่ปล่อยข้อมูลเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งมีราวๆ 10 กลุ่มด้วยกัน และมีองค์กรในประเทศ รวมทั้งองค์กรในสถาบันการศึกษาบางแห่ง เคลื่อนไหวรับลูก ซึ่งมองเห็นความเชื่อมโยงอย่างชัดเจน
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายสนับสนุนคำวินิจฉัยของศาล ก็เริ่มกระบวนการแจ้งความเอาผิด เพื่อหวังดำเนินคดีอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบางส่วนเป็นการดำเนินการเพื่อหวังผลทางการเมืองด้วย เช่น ยื่นยุบพรรคการเมืองบางพรรค การเคลื่อนไหวลักษณะนี้จะยิ่งเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์การต่อต้านขยายวงมากขึ้น
อย่างล่าสุดที่ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพ พรรคพลังประชารัฐ ออกมาประกาศจะดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 กับบรรดาอดีตแกนนำพรรคการเมืองที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังม็อบ 3 นิ้วมาโดยตลอด อย่างนี้เป็นต้น
สำหรับฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาที่คาดว่าจะมีการแจ้งความดำเนินคดีกันอย่างกว้างขวางหลังจากนี้ ประกอบด้วย
มาตรา 112 ข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง มีโทษจำคุก 3-15 ปี
มาตรา 113 ข้อหากบฏ ล้มรัฐธรรมนูญ ล้มอำนาจอธิปไตย หรือแบ่งแยกรัฐ มีโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต แต่กฎหมายมีเงื่อนไขที่เป็นองค์ประกอบความผิดที่สำคัญว่า จะต้องมีการใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ยว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
มาตรา 114 เป็นข้อหาตระเตรียมก่อกบฏ มีโทษจำคุก 3-15 ปี
มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น ด้วยการพูด เขียน หรือวิธีการอื่นใด มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การเอาผิดอาญาในฐานความผิดเหล่านี้ เป็นเรื่องยาก เพราะต้องมีหลักฐานที่สามารถชี้ให้เห็นถึงเจตนาพิเศษของผู้กระทำ เช่น ต้องมีการใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือคาดหมายว่าจะเกิดการก่อความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งการพิสูจน์เจตนาเหล่านี้ในทางอาญา ต้องมีความชัดเจน จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะเอาผิด
แต่การที่กลุ่มเคลื่อนไหวต้องมีคดีติดตัว ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ก็จะส่งผลให้ขับเคลื่อนกิจกรรมทำได้ลำบากมากขึ้น หาแนวร่วมได้ยากขึ้น และอาจส่งผลให้สถานการณ์ในภาพรวมลดความร้ายแรงลงได้เหมือนกัน