ถอดรหัสก้าวไกล ยุบพรรคจุดชนวนระเบิดลูกใหญ่ในอนาคต?

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 10 พ.ย.64 ชี้ว่าแกนนำม็อบราษฎร 3 คน คือ นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง และทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย นายณฐพร โตประยูร ในฐานะผู้ร้อง และเป็นอดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เดินทางไปสำนักงานคณะกรรมการการเลือก (กกต.) เพื่อยื่นหนังสือขอให้ยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากให้การสนับสนุน กลุ่มม็อบราษฎร 

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงที่รัฐสภา (11 พ.ย.64) ยืนยัน ว่า ข้อกล่าวหา ส.ส.ไปร่วมสังเกตการณ์การชุมนุม ไปประกันตัวผู้ถูกกล่าวหาในคดีการเมือง รวมถึงการเสนอแก้มาตรา 112 ยืนยันว่า ไม่เข้าเหตุในการยุบพรรค เพราะเป็นการใช้สิทธิ ทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส.ที่ดีของประชาชน เป็นการประกันสิทธิที่รับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญ

ถ้าบอกว่าการไปประกันตัวผู้ถูกกล่าวหาคดี 112 เป็นการล้มล้าง สังคมไทยต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าข้อหาใดบ้างต้องไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวโดยเด็ดขาด แต่ปัจจุบันไม่ว่าประชาชนจะถูกแจ้งข้อกล่าวหาใด ทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมที่จะได้รับการประกันตัว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาจนถึงที่สุด

และการเสนอกฎหมาย ก็เป็นอำนาจ ส.ส.ในระบบปกติ ยืนยันว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้น เป็นการกล่าวหาเท็จ และมีเจตนาที่จะทำลายล้างพวกเราในทางการเมือง ไม่เข้าเหตุในการยุบพรรค และเราจะต่อสู้อย่างถึงที่สุด

เลขาธิการพรรคก้าวไกล ยืนยันว่า พรรคจะต่อต้านการล้มล้างการปกครองของคณะรัฐประหาร และฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างถึงที่สุด และยืนยันที่จะต่อสู้เพื่อพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน หากเราถอยห่างจากหลักการนี้ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะมีพรรคเราอยู่ ยืนยันที่จะต่อสู้เคียงข้างประชาชนอย่างถึงที่สุด

ไม่มีเหตุใดเข้าข่ายยุบพรรค เราไม่กังวล แต่ไม่ประมาท ทุกอย่างเตรียมพร้อม และสังคมไทยต้องเตรียมตัวเมื่อไปถึงจุดนั้น เราต้องไม่อนุญาตให้มีการยุบพรรคด้วยเหตุจูงใจทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ ถ้าปล่อยให้กลไกหรือกระบวนการยุติธรรมเกิดขึ้นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะเป็นระเบิดลูกใหญ่ในอนาคตสำหรับสังคมไทย

เลขาธิการพรรคก้าวไกล ยืนยันว่า การแก้ไข มาตรา112 เสนอตามกลไกสภาปกติ เพื่อเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติของสภา 

ทั้งนี้ เรากังวลมากว่าคำวินิจฉัยศาลจะกลายเป็นฐานในทางการเมืองให้มีการเอาข้อหาล้มล้างการปกครองไปใช้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง ไม่มีขอบเขต และเข้าข่ายบิดเบือนการใช้กฎหมาย เพราะจะเกิดความตึงเครียดในสังคมรุนแรงมากขึ้น แทนที่จะช่วยกันหากลไก พื้นที่ปลอดภัยทางการเมือง ทำข้อตกลงกับผู้เห็นต่างอย่างสันติโอกาสจะน้อยลง

หลังจากนี้รัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐตลอดจนกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม จะนำเอาคำวินิจฉัยนี้ไปเป็นฐานในการกล่าวหาโจมตีการเเสดงออกของประชาชนและเยาวชนจำนวนมากแบบเหมารวมว่า เป็นขบวนการล้มล้างการปกครอง และอาจเกิดการขีดเส้นแบ่งทางการเมืองแบบสุดขั้ว รุนแรงขึ้น ระหว่างขบวนการล้มล้างการปกครองปีกหนึ่ง กับอีกขั้วหนึ่งปกป้องระบอบการปกครอง ซึ่งพรรคเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา

นอกจากนั้น กระบวนการยุติธรรม จะถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวางและรุนแรงขึ้นกว่าปัจจุบันว่ามีการบังคับใช้กฎหมายอย่างบิดเบือนกับคดีทางการเมืองหรือไม่

ปัญหานี้ก็จะรุนแรงมากขึ้น พรรคก้าวไกล ยืนยันว่า การคลี่คลายปัญหาต้องอาศัยความเข้าใจต่อความจริงอันน่ากะอักกะอ่วนใจแห่งยุคสมัยให้ถูกต้อง อย่างมองว่าเป็นภัยของชาติ อย่างมองอนาคตของชาติเป็นศัตรู ต้องแสวงหากุศโลบายที่ดีในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันมหากษัตริย์ กับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ให้ได้

แต่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กลับจะยิ่งทำให้สังคมไทยหนีห่างจากเส้นทางนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงในสังคมได้ในอนาคต ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นศาลรัฐธรรมนูญและเครือข่ายต้องมีส่วนในการรับผิดชอบ