10 พฤศจิกายน 2564 ที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส. จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่เช้าของวันนี้ ได้มีเกษตรกร โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมืองศรีสะเกษ ทยอยนำสมุดเงินฝาก มาหย่อนเข้าปรับสมุดเงินในเครื่องปรับสมุดอัตโนมัติ เพื่อปรับดูยอดสุดท้ายว่ามีความเคลื่อนไหวของเงินในบัญชีเงินฝากของตนมากน้อยเพียงใด ภายหลังจากที่รัฐบาลประกาศโอนเงินส่วนต่าง ในโครงการประกันรายได้ ในการทำนาข้าว
โดยหากเกษตรกรที่ลงทะเบียนผู้ปลูกข้าวไว้กับสำนักงานเกษตร ที่ลงวันเก็บเกี่ยวในช่วงนี้ จะได้รับเงินตามโครงการประกันรายได้ก่อน ตามที่รัฐบาลประกาศราคาประกันรายได้ ในราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ประกาศประกันราคาอยู่ที่ ตันละ 15,000 บาท แต่ราคาซื้อขายอยู่ที่ ตันละ 10,864.23 เกษตรกรจะได้รับเงินชดเชยอยู่ที่ ตันละ 4,135.77 บาท หากเป็นข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาซื้อขายอยู่ที่ตันละ 10,407.75 บาท ได้รับการชดเชย ตันละ 3,595.25 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุม ซื้อขายตันละ 9,947.87 บาท ชดเชยตันละ 1,052.13 บาท ข้าวเปลือกเจ้าซื้อขายตันละ 8,065.38 บาท ข้าวเปลือกเหนียว ซื้อขาย ตันละ 7,662.53 ชดเชยตันละ 4,337.47 บาท โดยในจังหวัดศรีสะเกษ ในรอบแรกนี้ มีเกษตรกรที่ทำนาข้าว มีกำหนดเก็บเกี่ยวข้าวที่จะได้รับเงินชดเชย จำนวน 479 ไร่ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 4,886,746.19 บาท
เกษตรกรที่ทำนาข้าว ที่ทราบข่าวในการโอนเงินเข้าในบัญชีเงินฝากของ ธนาคาร ธกส. ต่างดีใจที่จะได้เงินไปใช้จ่ายในช่วงนี้ พากันเดินทางมาปรับสมุด และหากพบว่ามีเงินเข้าในบัญชี ก็ได้ยื่นความประสงค์ เขียนใบถอนเงินฝากตามที่ต้องการที่ไปใช้ในระยะนี้ก่อนบางส่วน ตามความจำเป็น โดยที่เหลือก็ขอฝากเก็บไว้ในบัญชี รวมทั้งเกษตรกรหลายรายที่มีบัตร ATM ก็ได้นำบัตรมากดดูเงินที่เข้าในบัญชี และกดถอนเงินไปใช้กันแล้ว ซึ่งต่างก็ยิ้มแย้ม แจ่มใส เพราะได้มีเงินเข้าในบัญชี เพื่อจะได้ถอนเงินไปใช้ในช่วงนี้ ภายหลังสถานการณ์โรคโควิด-19 ได้ผ่อนคลายลง โดยในการให้บริการปรับสมุด ถอนเงิน อยู่ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเคร่งครัดด้วย
โดย - พงษ์พัฒน์ ไตรพิพัฒน์