8 พฤศจิกายน 2564 ศูนย์แถลงข่าวกระทรวงสาธารณสุขโดย นายแพทย์อรรถสิทธิ์ ศรีสุบัติ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ ระบุว่า ถึงความคืบหน้า ยารักษาโควิด 19 โมลนูพิราเวียร์ และ ยาแพกซ์โลวิด ว่า ยาทั้งสองตัวนี้เป็นยาช่วยต้านไวรัส ไม่ให้ไวรัสเพิ่มในร่างกาย แต่มีการออกฤทธิ์ต่างกันคนละที่
ซึ่ง ยาโมลนูพิราเวียร์ ได้มีการทำศึกษาวิจัยได้มีการวิเคราะห์เบื้องต้น 775 คน โดยมีการแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับยาจริง 385 คนและยาหลอก 377 คนรับประทานวันละ 2 เวลาขนาด 800 mg เป็นระยะเวลา 5 วัน 4 เม็ดเช้า และ 4 เม็ดเย็น โดยใช้ 40 เม็ดต่อคน
จากงานวิจัยพบว่า ลดความเสี่ยงการในการเข้านอนโรงพยาบาลและเสียชีวิตร้อยละ 50 โดยพบว่า ไม่มีผู้เสียชีวิตในกลุ่มที่ได้ยาโมลนูพิราเวียร์ ส่วนคนที่ได้อย่าหลอกมีเสียชีวิต 8 คน
ขณะที่ ยาแพกซ์โลวิด ต้องใช้ควบคู่กับ ยาริโทนาเวียร์ จากข้อมูลศึกษาวิจัยเบื้องต้น 774 คน ( กินยาแพกซ์โลวิดขนาด 150 มิลลิกรัม กับ ยาริโทนาเวียร์ ขนาด 100 มิลลิกรัม จำนวน 389 คน และยาหลอก 385 คน) กินวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน โดยหนึ่งคนใช้ยาแพกซ์โลวิดทั้งหมด 20 เม็ด และ ริโทนาเวียร์ 10 เม็ดต่อคน
โดยพบว่า ลดความเสี่ยงการเข้านอนโรงพยาบาลและเสียชีวิตได้ โดยมีการวัดอยู่ที่ 28 วัน กรณีให้ยาภายใน 3 วัน นับแต่เริ่มมีอาการ ยามีประสิทธิภาพ ร้อยละ 89 หาก กรณีให้ยาภายใน 5 วันนับตั้งแต่มีอาการ ประสิทธิผลอยู่ที่ร้อยละ 85 ทั้งนี้ ไม่มีผู้เสียชีวิตในกลุ่มที่ได้ยาแพกซ์โลวิด ต้องใช้ควบคู่กับ ยา ลิโทนาเวียร์
ส่วนความคืบหน้า ยาแพกซ์โลวิด ทางกรมการแพทย์ ได้หารือกับ ไฟเซอร์ในข้อมูลยาและการวิจัยต่างๆ เนื่องจากกรมการแพทย์กับบริษัทไฟเซอร์มีการทำสัญญาร่วมกันที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลผลการศึกษา และ ราคา รายละเอียดตอนนี้ อย่างไรในวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 จะมีการเจรจา เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ในการจัดหายามาใช้ เบื้องต้นทางไฟเซอร์กำลังอยู่ระหว่างการยื่นขึ้นทะเบียนกับทางอย. สหรัฐฯ
นายแพทย์ อรรถสิทธิ์ ระบุอีกว่าทางบริษัทไฟเซอร์ บอกว่า หากมีการนำยา ออกมาจำหน่ายในท้องตลาด ก็จะเป็นในรูปแบบคู่กัน ระหว่างยาแพกซ์โลวิด และยาริโทนาเวียร์ ส่วนสาเหตุที่ต้องให้กินยาริโทนาเวียร์ควบคู่ไปด้วย ข้อมูลวิจัยจากบริษัทผู้ผลิต ชี้ชัดถ้าให้ยาทั้ง 2 ชนิด จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโควิด จะเพิ่มขึ้น
สำหรับหลักเกณฑ์ในการแจกจ่ายยาให้กับผู้ป่วยโควิดเบื้องต้น จะเป็นผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการ และเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง มีโรคประจำตัว ซึ่งมีข้อมูลวิจัย ยืนยันแล้วในเบื้องต้นว่า ยาทั้ง 2 ชนิดลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด ในการเข้านอนโรงพยาบาลและการเสียชีวิตได้