นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ หรือ หมอเฉลิมชัย รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความลงใน Blockdit “ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย” เผยถึงข่าวดี ที่บริษัท เมอร์ค (Merck) ผู้ผลิตยา “โมลนูพิราเวียร์” (Molnupiravir) ยาต้านไวรัสโควิด-19 ตัวใหม่ ใจกว้างทำให้ราคายาถูกลง 88 เท่า มีรายละเอียดดังนี้...
ข่าวดีมากสำหรับประเทศรายได้ปานกลางและยากจน โดยมีการแถลงข้อตกลงร่วมกันระหว่างบริษัท MSD (Merck&Co.,Inc.) บริษัท Ridgeback Biotherapeutics และมหาวิทยาลัย Emory ว่า จะไม่คิดค่าสิทธิบัตรของยาต้านไวรัสตัวใหม่ Molnupiravir โดยได้ทำข้อตกลงกับ MPP (The Medicine Patent Pool) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางสาธารณสุขที่องค์การอนามัยโลกสนับสนุน
ข้อตกลงดังกล่าว ถือว่าเป็นข้อตกลงแรกที่เกี่ยวกับยาและเทคโนโลยีโควิด-19 โดยมีสาระสำคัญว่า ทั้งสองบริษัทและหนึ่งมหาวิทยาลัย จะไม่ขอรับค่าสิทธิบัตรจากยาต้านไวรัสดังกล่าวสำหรับการผลิตและจำหน่ายในกลุ่มประเทศรายได้น้อย ทำให้ประเทศรายได้ต่ำ และรายได้ปานกลาง 105 ประเทศ และบริษัทยากกว่า 50 บริษัทในประเทศดังกล่าว สามารถผลิตยา โมลนูพิราเวียร์” ได้เอง
“แนวทางดังกล่าว ทำให้ราคายาต่อคอร์ส ลดลงอย่างมาก จาก 23,100 บาท (700 เหรียญสหรัฐ) เหลือเพียง 264 บาท (8 เหรียญสหรัฐ) ลดลงมากกว่า 87.5 เท่าตัว ”
โดยเงื่อนไขการไม่คิดค่าสิทธิบัตรดังกล่าวนั้น จะกระทำต่อเนื่องกันไป ตราบเท่าที่องค์การอนามัยโลกยังประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคระบาดของโลก ( Public Health Emergency of International Concern) โดยการลงนามในข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564
ผู้บริหารบริษัท เมอร์ค ได้ออกมาแถลงว่า “บริษัทซึ่งก่อตั้งมากว่า 130 ปี มีเจตนารมณ์ที่จะวิจัยพัฒนายาและเวชภัณฑ์ต่างๆเพื่อช่วยมนุษยชาติเป็นหลัก”
อธิการบดีของ Emory University แถลงว่า “มหาวิทยาลัยมีนโยบายที่จะรับใช้มนุษยชาติหรือรับใช้สังคม”
ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Ridgeback กล่าวว่า “ข้อตกลงนี้ เป็นตัวอย่างที่สำคัญของความร่วมมือที่จะทำให้ระบบสุขภาพของโลกดีขึ้น”
ผู้บริหารของ MPP กล่าวว่า เป็นข้อตกลงแรกที่เกี่ยวกับ โควิด-19 ในอดีต MPP ได้ทำข้อตกลงที่ทำให้ประชาชนที่อาศัยในประเทศรายได้ปานกลางและประเทศยากจนได้เข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นกับชีวิตในราคาที่ไม่แพง เช่น กลุ่มยาโรคเอดส์ ยาโรคไวรัสตับอักเสบซี และยารักษาวัณโรค เป็นต้น
ยา “โมลนูพิราเวียร์” เป็นยาที่ได้รับการพัฒนาขึ้น โดยมหาวิทยาลัย Emory และให้บริษัท Ridgeback และ Merck เป็นผู้รับสิทธิบัตรในการดำเนินการผลิตต่อไป โดยมีชื่อรหัส MK 4482 และ EIDD 2801 ออกฤทธิ์ต่อต้านการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของไวรัส ในการวิจัยเฟสสาม สามารถลดจำนวนผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลได้ถึง 50% ในผู้ป่วยอาการน้อยหรือปานกลาง โดยไม่มีผู้เสียชีวิต
ขณะนี้อยู่ในการทดลองเฟสสาม และได้ยื่นขออนุมัติใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน (EUA) ต่อ USFDA และหน่วยงานของทวีปยุโรป (EMA) ถ้าได้รับการอนุมัติ ก็จะเป็นยาตัวแรกของโลก ที่ออกฤทธิ์ต่อต้านไวรัสก่อโรคโควิด-19 โดยตรง
ถือเป็นข่าวดีมาก ที่ผู้เป็นเจ้าของและถือสิทธิบัตรยาดังกล่าว ได้ตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่มากในวงการธุรกิจ ไม่คิดค่าสิทธิบัตรยาใหม่ ที่สามารถทำเงินได้จำนวนมหาศาล ทำให้ 105 ประเทศทั่วโลก สามารถเข้าถึงยาตัวนี้ได้ในราคาที่ถูกลงกว่า 88 เท่าตัว
ถ้าบริษัทต่างๆที่เกี่ยวกับยาและเวชภัณฑ์ ได้ดำเนินนโยบายแนวทางเดียวกันนี้ ก็จะทำให้ประชาชนกว่าครึ่งโลก ในประเทศที่ยากจนและประเทศรายได้ปานกลาง มีโอกาสได้รับการรักษาอย่างมีคุณภาพ และน่าจะลดการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ เป็นการลดความเหลื่อมล้ำของมนุษย์ลงได้อย่างเป็นรูปธรรม
“ขอแสดงความชื่นชมและขอบพระคุณเป็นอย่างสูง กับทั้งสองบริษัทและหนึ่งมหาวิทยาลัย ที่ร่วมมือกันทำสิ่งที่ดี ที่สวยงาม ให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ครับ" หมอเฉลิมชัย กล่าวด้วยความชื่นชม”