ข้อมูลจากนักวิจัยมหาลัยเคมบริดจ์เผย สหรัฐฯกลายเป็นประเทศที่มีการขุดบิทคอยน์สูงสุดในโลก เป็นผลจากความพยายามปราบปรามระบบซื้อขายใช้งานบิทคอยน์ภายในจีน ทำให้นักลงทุนทั้งหลายต้องปิดตัวเหมืองหรือย้ายถิ่นฐานออกไปขุดในต่างประเทศ ภายหลังการมาถึงของกฎหมายระงับการใช้งานซื้อขายบิทคอยน์ในเดือนพฤษภาคม 2021
ก่อนหน้านี้ในปี 2019 อัตราครองตลาดการเชื่อมต่อและขุดบิทคอยน์ของจีนสูงถึง 75% ก่อนลดลงมาเป็น 44% ในช่วงปีที่ผ่านมาเมื่อเริ่มถูกรัฐบาลเพ่งเล็ง จนลดลงเหลือศูนย์ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังผ่านร่างกฎหมายระงับการใช้งานซื้อขายบิทคอยน์ได้เพียงสองเดือน
นั่นทำให้นักขุดเหมืองในประเทศจีนจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐานตามการขับไล่ของรัฐบาล จุดหมายของพวกเขาคือพื้นที่อเมริกาเหนือกับเอเชียกลาง ส่งผลให้ปัจจุบันสหรัฐฯครองอันดับการเชื่อมต่อกับเครือข่ายบิทคอยน์สูงสุดที่ 35.4% รองลงมาคือคาซัคสถานและรัสเซีย
เงื่อนไขในการสร้างหรือขุดบิทคอยน์ขึ้นมาใช้งานเป็นมูลค่า เกิดขึ้นจากการใช้คอมพิวเตอร์กำลังสูงถอดรหัสคณิตศาสตร์อันซับซ้อนจึงทำให้มีอัตราการใช้ไฟฟ้าสูงตามลำดับ และการขยายตัวดังกล่าวทำให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงมาก จนอาจกลายเป็นคำถามที่สร้างปัญหาแก่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในการประชุมสิ่งแวดล้อม COP26 ในเดือนพฤศจิกายนเรื่องปัญหาสภาพอากาศ เพราะโรงไฟฟ้าสหรัฐฯเป็นยังคงพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่มาก
ปัญหานี้ก็เกิดขึ้นกับรัสเซียเช่นกัน แม้มีต้นทุนด้านพลังงานต่ำจากการเป็นประเทศส่งออกก๊าซธรรมชาติ รวมถึงสภาพอากาศหนาวเย็นทำให้ลดความร้อนที่เกิดขึ้นในกระบวนการได้ดี แต่จดหมายจากผู้ว่าการภูมิภาคอีร์คุตสค์ของรัสเซียที่ส่งตรงถึงรัฐบาล ก็ยืนยันถึงการกินพลังงานมหาศาลของเหมืองเหล่านี้ และยิ่งเลวร้ายลงเมื่อมีกลุ่ทที่โยกย้ายจากจีนมาเพิ่มเติม
นั่นทำให้การตัดสินใจของจีนดูคล้ายเป็นเรื่องถูกต้อง ภายหลังการกวาดล้างอย่างเด็ดขาดในการซื้อขายบิทคอยน์ จากการที่ชาติในยุโรปและอเมริกาเหนือต่างต้องรับมือการเติบโตขยายตัวในการขุดบิทคอยน์ เริ่มส่งผลกับปัญหาด้านพลังงานที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ
แต่นักธุรกิจชาวจีน เหมาซิงหาน เจ้าของเว็บไซต์ F2Pool ผู้ร่วมก่อตั้ง COBO บริษัทจัดการสินทรัพย์ดิจิตอลยักษ์ใหญ่กลับเห็นว่า จีนกำลังเสียโอกาสสำคัญในการเป็นมหาอำนาจในด้านการคำนวณจากคอมพิวเตอร์ ทั้งที่เคยเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมเหมืองบิทคอยน์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ตอนนี้อำนาจดังกล่าวกำลังไหลไปหาสหรัฐฯแทน