7 ตุลาคม 2564 ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ระบุว่า ...
"ช่วงนี้น้ำจืดจำนวนมากกำลังไหลจากแผ่นดินลงสู่ทะเล โดยเฉพาะในเขตอ่าวไทยตอนใน (อ่าวตัว ก.) ที่มีแม่น้ำสายหลัก 4 สาย ไหลลงสู่อ่าวไทยตอนใน อาจส่งผลกระทบทำให้ปะการังฟอกขาวได้"
โดยลักษณะของอ่าวไทยตอนใน (อ่าวไทยรูปตัว ก.) เป็นอ่าวปิด 3 ด้าน มีเพียงด้านใต้เท่านั้นที่เปิดสู่ทะเลนอก ความกว้างของอ่าวไทย 80-90 กิโลเมตร พื้นที่รวมไม่ถึง 9,000 ตารางกิโลเมตร เพราะฉะนั้น อ่าวไทยตอนในไม่ได้ใหญ่เลย เทียบกับทะเลสาบใหญ่ๆ ในโลก อ่าวไทยตอนในเล็กกว่าเลคมิชิแกนตั้ง 6.5 เท่า
อ่าวแห่งนี้มีแม่น้ำสายหลัก 4 สาย โดยไล่จากตะวันออก-ตะวันตก ได้แก่ บางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน และแม่กลอง และยังมีแม่น้ำสายรองรวมทั้งคลองอีกมาก เมื่อฝนตกหนักในภาคเหนือ ภาคกลาง น้ำจืดไหลลงมาสู่อ่าวไทยตอนใน ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยมี 2 ปัจจัยหลัก
ประการแรก คือน้ำจืดที่ไหลลงสู่อ่าวไทยตอนในทำให้ความเค็มของน้ำทะเลลดลงอย่างรวดเร็ว บางทีเกิดปรากฏการณ์ "น้ำเบียด" สัตว์น้ำทนต่อการเปลี่ยนแปลงฉับพลันไม่ได้ ขึ้นมาตายตามชายหาด "น้ำเบียด" เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำแทบทุกปี โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ส่วนใหญ่จะเกิดทางฝั่งตะวันตก แถวชายฝั่งเพชรบุรี น้ำจืดยังอาจส่งผลต่อปะการัง หากความเร็วลดลงฉับพลัน ทำให้ปะการังฟอกขาวได้ แต่ฝั่งตะวันตกไม่มีปะการัง ยังพอมีหน่อยก็ต้องเลยหัวหินไปถึงเขาเต่า แต่น้อยมาก ปะการังของจริงที่ฝั่งตะวันตก จะเริ่มที่หมู่เกาะรอบเมืองประจวบ หลุดออกไปจากเขตอ่าวไทยตอนใน ไม่ได้รับอิทธิพลแล้ว ผิดจากฝั่งตะวันออก เราพบปะการังตั้งแต่เกาะสีชัง เรื่อยไปผ่านเกาะล้าน เกาะไผ่ จนสุดที่แสมสาร ปะการังตะวันออกจึงได้รับอิทธิพลของน้ำจืดที่ลงมากับแม่น้ำ
โดยในปี 2554 ช่วงนี้เกิดน้ำท่วมใหญ่ พวกเรานักวิทยาศาสตร์ทางทะเลติดตามดูปะการังแถวเกาะสีชังตลอด พบว่าฟอกขาวเล็กน้อย และฟื้นคืนได้ในที่สุด แต่นั่นคือ 10 ปีก่อน ปัจจุบัน สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปพอสมควร หากปีนี้มีน้ำเยอะจริง อาจต้องลงกลับไปดูกันสักครั้ง อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหามากมาย เทียบเท่ากับที่ฟอกขาวจากโลกร้อนเมื่อต้นปีแถวระยองครับ
ประการที่ 2 ที่มาพร้อมกับน้ำจืดที่ไหลลงสู่อ่าวไทยตอนใน คือ "ขยะ" ดร.ธรณ์ กล่าวย้ำว่า เคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่า "การจัดการขยะของไทย" ยังทำได้ไม่ดีนัก โดยมากกว่าครึ่งเป็นการฝังกลบที่ไม่ค่อยได้กลบจริง มีอยู่เยอะที่กองไว้ เมื่อน้ำท่วม กองขยะก็มาตามน้ำ ไหลลงสู่แม่น้ำ ก่อนที่จะมุ่งตรงออกสู่ทะเล กลายเป็ยขยะทะเลจำนวนมาก
ขยะไม่ย่อยสลายพวกนั้นจะลอยในอ่าวไทยตอนใน บางทีอาจไปปะทะกับมวลน้ำทะเลนอก เกิดเป็นแพขยะขึ้นมาแถวนอกฝั่งประจวบ ซึ่งในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลังน้ำท่วมใหญ่
ดร.ธรณ์ กล่าวว่า ช่วงนี้คงต้องช่วยกันดู หากพบแพขยะต้องรีบแจ้งกรมทะเล ระบบการเก็บขยะทะเลเราพัฒนาขึ้นพอควร แต่จะพัฒนายังไงก็คงเก็บได้ไม่หมด หากขยะยังเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น จากพลาสติกใช้แล้วทิ้ง ฯลฯ ที่มีจำนวนพุ่งพรวดจากช่วงโควิด น้ำจืดยังพาธาตุอาหารจำนวนมากจากแผ่นดินลงทะเล ซึ่งอาจเกิดแพลงก์ตอนบลูม และยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ลิ่มน้ำ การเคลื่อนที่กระแสน้ำ ฯลฯ ที่ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดต่ำลงกระทันหัน ปรากฏการณ์แบบนี้อาจส่งผลต่อการเพาะเลี้ยงของชาวประมงพื้นบ้านตามชายฝั่ง การเฝ้าระวังต้องใช้สถานีสมุทรศาสตร์แบบ Real Time วัดข้อมูลต่างๆ ตลอดเวลา เพื่อการแจ้งเตือนได้ทันท่วงที
ทั้งนี้ อ่าวไทยตอนในมีสถานีสมุทรศาสตร์เพียงแค่แห่งเดียว อยู่ที่หน้าสถานีคณะประมง ศรีราชา เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างคณะประมง มก./สสน. (สารสนเทศทรัพยากรน้ำ) โดยเมื่อวันที่ 5-6 ตุลาคม ที่ผ่านมาพบว่าออกซิเจนในน้ำลดต่ำลงจนแตะศูนย์ และรีบแจ้งเตือน แต่ถ้ามีสถานีเดียว จะไม่สามารถตอบโจทย์ในการบริหารจัดการน้ำ แจ้งเตือน ฯลฯ
จึงถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการทำมาหากินในเขตอ่าวไทยตอนใน ที่สัมพันธ์กับน้ำจืดจำนวนมากจากแม่น้ำตามที่บอก โดยเฉพาะโลกร้อนทำให้หลายต่อหลายอย่างไม่เหมือนเดิม
ดร.ธรณ์ กล่าวว่า ในฐานะอนุกรรมการคณะลุ่มน้ำจืด/น้ำเค็ม ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อมีโอกาสเข้าประชุม จึงเสนอแนะว่าเราควรมีสถานีแบบนี้ให้ครบ 3 จุด ครอบคลุมทั้งอ่าวไทยตอนใน โดยหากมี 3 สถานีสมุทรศาสตร์ Real Time เราจะเรียนรู้และบริหารความเสี่ยงในการจัดการอ่าวไทยตอนในได้ดีกว่านี้แน่นอน และยังตอบสนองแผนพัฒนาศก./สังคม ฉบับ 13 ในเรื่องการลดความเสี่ยงจากโลกร้อน
ล่าสุด มีข่าวดีเล็กๆ ว่าคณะทรัพยากรน้ำแห่งชาติเห็นชอบโครงการดังกล่าว และน่าจะเริ่มลงมือทำได้ในไม่ช้า โดยความร่วมมือของกระทรวงอว./สสน./มก. และอีกหลายหน่วยงาน
โดย ดร.ธรณ์ เชื่อว่าภายในอนาคตอันใกล้ เราจะป้องกันความเสี่ยง/แจ้งเตือนเรื่องทำมาหากินในอ่าวไทยตอนในได้ดีกว่านี้ และข้อมูลที่ได้จะมีประโยชน์มหาศาลหากนำไปประยุกต์ใช้ เช่น วาฬบรูด้า ปลาทู สัตว์น้ำต่างๆ ประมง ท่องเที่ยว ฯลฯ รวมถึงเป็นฐานข้อมูล เพื่อเรียนรู้ระยะยาวเรื่องความเปลี่ยนแปลงในทะเลจากโลกร้อน และนำไปสู่การต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงของโลกแบบใช้ข้อมูลทางวิชาการ ใช้เทคโนโลยี และใช้ความร่วมมือของทุกฝ่าย