การฆ่าโลมาคาดขาว 1,428 ตัว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมการต้อนโลมาแบบโบราณอายุ 4 ศตวรรษให้เข้ามาในเขตน้ำตื้น เพื่อฆ่าพวกมันสำหรับเอาเนื้อและไขมันเมื่อเร็ว ๆ นี้ในหมู่เกาะแฟโร ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก ระหว่างสกอตแลนด์ นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ ทำให้เกิดการถกเถียงกันอีกครั้งเรื่องความเหมาะสม
หมู่เกาะแห่งนี้มีการปกครองแบบกึ่งอิสระ และเป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์ก การล่าโลมาที่นี่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์และได้รับอนุญาตจากทางการ แต่นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่โหดร้าย
ขณะที่บางคนในหมู่เกาะแฟโร ที่ปกป้องการปฏิบัติดังกล่าว ก็ถึงกับเป็นกังวลว่าการล่าครั้งนี้อาจจะดึงดูดความสนใจที่พวกเขาไม่ต้องการ เพราะเป็นการล่าครั้งใหญ่กว่าครั้งก่อน ๆ มากและดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นโดยไม่มีการจัดการ แบบที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เฮรี่ ปีเตอร์เซ่น แกนนำกลุ่มที่เคยไล่ต้อนวาฬนำร่องมายังชายฝั่งบนเกาะเอสตูรอย ทางตอนกลางของหมู่เกาะแฟโร ที่ซึ่งเกิดการสังหารเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาบอกว่า เขาไม่ได้รับแจ้งถึงการไล่ต้อนครั้งนี้ และได้ขอ “แยกตัวออกจากเรื่องนี้”
เขาบอกว่ามีโลมามากเกินไป และมีคนบนชายหาดน้อยเกินไปที่จะฆ่าพวกมัน แสดงถึงการไม่มีการเตรียมการ
ตามปกติ ชาวเกาะมักจะฆ่าโลมามากถึง 1,000 ตัวต่อปี
อย่างปีที่แล้วมีโลมาคาดขาวถูกฆ่าเพียง 35 ตัวเท่า
โอลาเวอร์ ซูร์ดาร์เบิร์ก ประธานสมาคมล่าวาฬนำร่องหมู่เกาะแฟโรเกรงว่าเรื่องนี้จะรื้อฟื้นการถกเถียงกันเกี่ยวกับการไล่ต้อนโลมา และทำให้ประเพณีโบราณของหมู่เกาะ ต้องเจอกับเรื่องลบ
ขณะที่จาค็อบ เวสเตอร์การ์ด รัฐมนตรีกระทรวงประมงของแฟโร บอกว่าการล่าครั้งนี้ ทุกอย่างทำไปตามระเบียบที่วางเอาไว้
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่สมาคม Sea Shepherd Conservation Society ซึ่งตั้งอยู่ในซีแอตเทิล ในสหรัฐ ได้คัดค้านการไล่ต้อนดังกล่าวที่มีมาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 16
บน Facebook ทางองค์กรอธิบายกรณีที่เกิดเมื่อช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ว่าเป็น "การตามล่าที่ผิดกฎหมาย"
โลมาคาดขาวและวาฬนำร่องไม่ใช่สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
ในแต่ละปี ชาวเกาะจะไล่ต้อนพวกมัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวาฬนำร่อง ให้มาในเขตน้ำตื้น และพวกมันจะถูกแทงจนตาย
การไล่ต้อนเหล่านี้ถูกควบคุมโดยกฎหมาย หลังจากนั้นเนื้อและไขมันของสัตว์ จะถูกนำไปแบ่งปันกันในชุมชน