เตรียมนับถอยหลัง สิ้นสุดมหากาพย์สัมปทาน 30 ปี ทาง "ดีอีเอส" เตรียมรับมอบ “ไทยคม” คืนสู่รัฐในวันที่ 10 กันยายนนี้ ยืนยัน "เอ็นที" ภายใต้การคุมของรัฐบาล มีศักยภาพมากพอบริหารต่อได้ ไม่มีจอดำ ทางด้าน 'ซีอีโอไทยคม' แจงรายละเอีดยิบ ยันตลอดอายุสัญญาที่มีกว่า 3 ทศวรรษ สร้างดาวเทียมและส่งมอบให้รัฐมากกกว่า 6 ดวง จ่ายส่วนแบ่งรายได้เฉียด 14,000 ล้านบาท มากกว่าอัตราขั้นต่ำการันตีในสัญญา 900%
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสัง (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (9 ก.ย.) ตน และผู้บริหารของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที จะเดินทางไปเยี่ยมชมและตรวจความพร้อมในการปฎิบัติการควบคุมดาวเทียมที่ บมจ.ไทยคม
เพื่อทำให้การบริหารงานรับช่วงต่อจากเอกชนภายหลังจากที่สัญญาสัมปทานของไทยคมจะสื้นสุดลงในวันที่ 10 กันยายนนี้ มีความราบรื่น รวมระยะเวลาการทำสัญญาสัมปทานคือ 30 ปี
"ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าการรับชมโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมหรือการติดต่อสื่อสารใดๆ ผ่านกิจการดาวเทียมของไทยคมยังคงดำเนินต่อเนื่องไม่มีจอดำแน่นอน เพราะในช่วงที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. 2564 ได้มีการลงนามในสัญญามอบสิทธิบริหารจัดการทรัพย์สินของโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศภายหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศของไทยคมมายังเอ็นที เป็นที่เรียบร้อยแล้ว"
โดย เอ็นที ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ จะเข้ามาบริหารจัดการทรัพย์สินในโครงการนี้ จะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านการสื่อสารโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมมากยิ่งขึ้น ซึ่งดาวเทียมสื่อสารถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ให้บริการสาธารณะ ดังนั้น การให้บริการดาวเทียมสื่อสารจึงเป็นกลไกสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมสำหรับเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และการติดต่อสื่อสาร และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการดาวเทียมของไทย
"การมอบสิทธิให้เอ็นทีเข้ามาบริหารจัดการทรัพย์สินของโครงการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ ที่จะมีการโอนคืนมาให้กับรัฐ หลังการสิ้นสุดสัมปทานไทยคม จะสร้างความต่อเนื่องในการให้บริการ รวมทั้งเป็นการรักษาสิทธิในตำแหน่งวงโคจรของประเทศไทย ทั้งดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ตำแหน่ง 119.5 องศาตะวันออก และดาวเทียมไทยคม 6 ตำแหน่ง 78.5 องศาตะวันออก ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงไว้ได้"
ทางด้าน นายอนันต์ แก้วร่วมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม เปิดเผยว่า ในฐานะคู่สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศกับดีอีเอสซึ่งสัญญาดังกล่าว มีอายุ 30 ปี ตั้งแต่ 11 กันยายน 2534 -10 กันยายน 2564 บริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนการดำเนินงานตามสัญญาและเจตนารมณ์ของสัญญามาโดยตลอด
ในการดำเนินการตามสัญญาสัมปทานจนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มีการจัดสร้างดาวเทียมด้วยต้นทุนของบริษัทเองและโอนกรรมสิทธิ์ในดาวเทียมให้เป็นทรัพย์สินของภาครัฐไปแล้วจำนวน 6 ดวง รวมมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท มากกว่าที่กำหนดไว้ในแผนที่นำเสนอโครงการตั้งแต่ต้น
และยังได้นำส่งค่าส่วนแบ่งรายได้ของดาวเทียมทั้ง 6 ดวง รวมกันเป็นรายได้ให้แก่ภาครัฐ จนถึงปัจจุบัน เป็นเงิน 13,852.84 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าค่าตอบแทนขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในสัญญาคือ 1,415 ล้านบาทคิดเป็น 889%
อีกทั้ง บริษัทฯ ยังมีส่วนสำคัญในการจองสิทธิในการใช้วงโคจรดาวเทียมให้กับประเทศและช่วยดำเนินการรักษาสิทธิในการใช้วงโคจรดาวเทียมไม่ให้ประเทศไทยต้องเสียสิทธิตลอดมา ทั้งที่การดำเนินการบางกรณีมิใช่หน้าที่ตามสัญญาสัมปทาน
“การจัดส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรภายใต้สัญญาสัมปทานแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดแรก คือ ไทยคม 1 (หลัก) และ ไทยคม 2 (สำรอง) ชุดที่สอง คือ ไทยคม 3 (หลัก) และ ไทยคม 4 หรือ ไอพีสตาร์ (สำรอง) ไทยคม 3 เสียก่อนหมดอายุใช้งาน จึงยิงไทยคม 5 ไปทดแทนไทยคม 3 ส่วนไทยคม 4 มีประเด็นเรื่องสถานะของไทยคม 4 ว่าเป็นสำรองหรือไม่ จึงยิงไทยคม 6 เป็นดาวเทียมสำรองเพิ่มเติมของไทยคม 5 ส่วนไทยคม 7 และ 8 เป็นดาวเทียมในข้อพิพาทเพราะบริษัทได้ขอใบอนุญาตเพื่อยิงขึ้นสู่วงโคจรจากสำนักงานกสทช.ไม่ถือว่าอยู่ในสัมปทาน”