หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลว่าอดีต "ผู้กำกับโจ้" ผู้ต้องหาในคดีร่วมกับพวก ทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาในคดียาเสพติดจนเสียชีวิตเคยรักษาอาการป่วย "ไบโพลาร์" ซึ่งทางด้าน นายนิติธร แก้วโต หรือ "ทนายเจมส์" ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กซัด ผกก.โจ้ ป่วยไบโพลาร์ เพื่อไม่ต้องรับโทษ ฟังไม่ขึ้น
ซึ่งทางทีมข่าวเนชั่นออนไลน์ได้ติดต่อสัมภาษณ์ทนายเจมส์ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวโดยทางทนายเจมส์ได้เปิดให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นเราต้องเข้าใจอาการป่วยของ โรคไบโพลาร์ หรือ Bipolar Disorder ซึ่งเป็นโรคที่ผู้ป่วยมีความผิดปกติของอารมณ์เด่นชัด โดยมีอารมณ์เศร้ามากผิดปกติ ร้องไห้ อ่อนเพลีย อยากตาย หรืออาจมีอารมณ์ดีมากผิดปกติ ครึกครื้น พูดมาก ผู้ป่วยอาจมีอาการเพียงด้านเดียว กรณีอารมณ์ครื้นเครง หรือมีอาการสองด้านก็ได้
ซึ่งมีหลายคดีที่กล่าวอ้างว่าตัวผู้กระทำผิดมีอาการป่วยโรคไบโพลาร์ ทั้งคดีดังและไม่ดัง และทำไมถึงต้องอ้างอาการป่วยโรคไบโพลาร์ เพราะในขณะที่ลงมือกระทำความผิดไปไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่ทางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 ผู้ใดกระทำความผิด ในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น
จากหลักกฏหมายข้างต้น ผู้ที่ไม่ต้องรับโทษในการกระทำความผิดทางอาญา จะต้องกระทำความผิดในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เนื่องจาก มีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือ จิตฟั่นเฟือนการที่ผู้ต้องหาพูดคุยตอบโต้ได้ตามปกติ ให้สัมภาษณ์สื่อได้ เช่น อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อธิบายมูลเหตุจูงใจที่ใช้ถุงคลุมหัวผู้ตาย เพื่อเค้นข้อมูล เพื่อปราบปรามยาเสพติด ปกป้องประชาชนให้พ้นยาเสพติด และยังยอมรับผิดคนเดียว ลูกน้องเพียงทำตามคำสั่ง
ซึ่งทนายเจมส์ ก็ยืนยันว่าใบรับรองแพทย์ไม่มีผลต่อคดีและไม่ทำให้สำนวนอ่อนแน่นอน ต้องพิสูจน์ก่อนว่าผู้ต้องหาอดีตผู้กำกับโจ้ป่วยจริงหรือไม่ ต้องมีการสอบถามแพทย์ ว่ามีการรักษาที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร ไปรับยาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และกินยาต่อเนื่องหรือไม่ และต้องนำสืบและมาพิสูจน์กันอีกว่าในขณะที่ลงมือกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายถ้ารู้ก็จบแล้ว
โดยมุมมองของทนายเจมส์เกี่ยวกับคดีนี้ คือบทพิสูจน์ของสํานักงานตํารวจแห่งชาติว่าสัจจะวาจาของท่าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่เคยกล่าวว่านิ้วไหนที่เสียก็ตัดทิ้งซะคดีนี้จะเป็นตัวพิสูจน์ว่ากระบวนการยุติธรรมและคำพูดของท่าน ผบ.ตร.ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ตำรวจจะกู้วิกฤตศรัทธาจากประชาชนได้หรือไม่คดีนี้เป็นตัวชี้วัด
ทนายเจมส์ ทิ้งท้ายไว้ว่า อยากจะให้บทเรียนครั้งนี้ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนให้กับหลายๆคนที่ทำหรือกำลังคิดจะกระทำความผิด เพราะไม่มีกฎหมายใดที่ให้อำนาจเจ้าพนักงานที่ถือกฎหมายไปทรมานผู้ต้องหาเพื่อได้มาซึ่งข้อมูล ไม่มีกฎหมายไหนบัญญัติเอาไว้ โดยการได้มาของข้อมูลนั้นต้องใช้หลักจิตวิทยาก การสืบสวนล้วนๆไม่มีหลักสูตรที่สอนให้ใช้ความรุนแรงกับผู้ต้องเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล และหลังจากนี้ในมุมมองส่วนมองว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ แบ่งออกเป็น2มิติ 1.ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ในรูปแบบใหม่ 2.เหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือจะเงียบกว่าเก่าจะระมัดระวังตัวยิ่งกว่าเก่า และวอนขอว่าอยากให้เป็นแบบที่1เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน