svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

จริงหรือแม่ผู้พิพากษา"ว"คือเจ้าของที่คดี400ล้าน

13 สิงหาคม 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เปิดหลักฐานบันทึกการให้การคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงศาลยุติธรรม ของ นาย"ว" และนาย "ช" ที่ดินพิพาทที่นำมาสู่การฟ้องร้อง และบริษัทเอกชน ยอมจ่ายเงิน 400 ล้าน เป็นที่ดินของแม่ผู้พิพากษา "ว" จริงหรือใม่

ตามที่ นายฐนท จันทรนิ่ม ทนายความและตัวแทนแม่ผู้พิพากษา ที่ตกเป็นข่าวถูกนักธุรกิจร้องเรียน ก.ต.ว่า แทรกแซงคดีและเรียกค่าชดเชย 400 ล้าน ได้ออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชน พร้อมโชว์หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และขอความเป็นธรรม ว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของแม่ของผู้พิพากษา โดยเมื่อปี 2551 เจ้าของที่ดิน ที่รู้จักกัน มีที่ดินประมาณ 600 ไร่ ได้แบ่งขายที่ดินมือเปล่า และ ส.ค.1 บางส่วน ประมาณ 200 ไร่ ให้กับแม่ของผู้พิพากษาในราคา 3 ล้านบาท

 

ต่อมาปี 2553 บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งได้ออกโฉนดทับที่ดินของแม่ผู้พิพากษา และส่วนของเจ้าของที่ดิน ที่แบ่งขายให้กับแม่ผู้พิพากษาที่เหลืออยู่ทั้งหมด 

 

แม่ผู้พิพากษา จึงยื่นฟ้องบริษัทเอกชนที่ออกโฉนดทับที่ดิน มีการฟ้องร้องกันหลายคดี

 

แม่ผู้พิพากษาแจงลูกไม่เกี่ยวคดี400ล้าน

https://www.nationtv.tv/news/378833113

 

แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เปิดเผย "เนชั่นออนไลน์" ว่า ตามคำฟ้องในคดี โจทก์ คือ นาย"ก" บอกว่า ที่ดินเป็นของพ่อนาย "ก" โดยไม่ได้กล่าวอ้างถึงแม่ของนาย "ว" เลย 

 

และในการนำสืบพยานทุกคดีที่ศาลบันทึกไว้ ก็ไม่ได้มีการกล่าวอ้างถึงแม่ของนาย "ว" ด้วย
 

ประเด็นหนึ่งที่แหล่งข่าว ที่เชื่อถือได้ บอกว่า เมื่อศาลยุติธรรม ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงนาย "ว" ปรากฎว่า นาย "ว" เพิ่งยกประเด็นที่ดินว่าที่ดินเป็นของแม่นาย "ว" ที่ซื้อมา ชี้แจงต่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของศาล รวมถึงอ้างหลักฐานสัญญาซื้อขาย ตามที่นายฐนท จันทรนิ่ม ทนายความและตัวแทนแม่ผู้พิพากษา ชี้แจงต่อสื่อ

 

แหล่งข่าว ที่เชื่อถือได้ บอกว่า ในการชี้แจงต่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของศาล ของนาย "ช" ฉบับวันที่ 4 กันยายน 2561 (ยื่นต่อป.ป.ช.แล้ว) ระบุถึงไทม์ไลน์ ที่ดินแปลงนี้ ว่า 

 

1. ปี 2533 บริษัท ******* จำกัด ได้ซื้อและเข้าครอบครองที่ดิน น.ส 3 และ แบบหมายเลข 3 โดยไม่มีบุคคลใดโต้แย้งคัดค้าน
2. ปี 2544 บริษัท ******* โอนที่ดิน ตีใช้หนี้ให้ บบส.
3. ปี 2546 บริษัท ++++ จำกัด ได้ซื้อที่ดินมาจาก บบส. และเข้าพัฒนาทำประโยชน์ในที่ดิน โดยไม่มีบุคคลใดโต้แย้งคัดค้าน
4. ปี2548 -2550 บริษัท ++++ จำกัด ได้ขอออกโฉนดที่ดิน และได้รับโฉนดที่ดินแล้ว

 

5. ปี 2552 -2553 เกิดเหตุการณ์
- นาย"ก" นำ ส.ค.1 เลขที่ 65 และ 170 มาขอออกดโฉนดที่ดิน ทับที่ดินของบริษัท ++++ 
- ในวันที่นาย "ก" นำช่างมารังวัดออกโฉนดที่ดินนาย "จ" ไม่ยอมให้ นาย "ก" เข้ามาทำการรังวัดในที่ดินของบริษัท และได้แจ้งความร้องทุกข์ในข้อหา บุกรุก ด้วย แต่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง
- นาย "จ" ได้นำภาพถ่ายในวันรังวัดที่ดินมาแจ้งให้นาย "ช" ทราบว่า มีนาย "ว" เข้าไปในที่ดิน และข่มขู่พนักงานของบริษัท ++++ และนาย "ว" ยังแจ้งให้ พ.ต.ท."พ" นำภาพถ่ายออกจากสำนวนการสอบสวนของตำรวจด้วย

 

6. ทางสำนักงานที่ดิน ได้ตรวจสอบ ส.ค.1 เลขที่ 65 แล้ว ไม่ใช่ของนาย "ก" และได้มีบุคคลอื่นนำไปออกเป็น น.ส.3 ก. แล้ว นาย "ก" จึงยกเลิกคำขอออกโฉนด ตาม ส.ค.1 เลขที่ 65 นี้

 

7. ปี 2557 นาย"ก" ยื่นฟ้อง บริษัท ++++ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1226/2557 ต่อศาลจังหวัดภูเก็ต ขอเพิกถอนโฉนดที่ดินของบริษัทจำนวน 12 แปลง

 

8. ปี 2558 นาย "ก" ยื่นฟ้อง บริษัท ++++ กับพวก เป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดภูเก็ต อีก 3 คดี คือ คดีหมายเลขดำที่ 4348/2558 , 6810/2558 และ 8228/2558 

 

9. ศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำ 6810/2558 แล้วมีคำสั่งว่า "คดีไม่มีมูล" แต่ต่อมาศาลไต่สวนอีกคดีหนึ่งเสร็จ คือ คดีหมายเลขดำที่ 4348/2558 แล้ว มีคำสั่งว่า "คดีมีมูล"
 

10. ปี2559 นาย "ก" ยื่นฟ้องบริษัท ++++ กับพวก เป็นคดีอาญาอีก 2 คดี ต่อศาลอาญาคดีทุจริตกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท.5/2559 และ อท.71/2559 และศาลมีคำสั่งให้รวมคดี และเมื่อศาลได้ไต่สวนแล้ว มีคำสั่งว่า "คดีไม่มีมูล"

 

11. ปี 2559 นาง "ช" อดีตกรรมการบริษัท ++++ ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาด้วย ได้ยื่นฟ้องนาย "ก" ในข้อหา หมิ่นประมาท

 

12. ปี2560 นาย "ก" ยื่นฟ้องบริษัท ++++ กับพวก เป็นคดีอาญาอีก 1 คดี ต่อศาลคดีอาญาทุจริต ภาค 8 เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท.59/2560 แต่ "ศาลยังไม่มีคำสั่งรับฟ้อง"

 

13. ปี 2560 บริษัท ++++ได้แจ้งความดำเนินคดีอาญากับนาย "ก" ในข้อหาแจ้งความเท็จ และพนักงานอัยการ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนาย "ก" เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6423/2560 และ 9424/2560 ต่อศาลจังหวัดภูเก็ต และศาลมีคำสั่งให้รวมคดี

 

14. ปี 2560 คดีอาญาหมายเลขดำที่ 4348/2558 ของศาลจังหวัดภูเก็ต ศาลได้ทำการสืบพยานแล้ว มีคำพิพากษาว่า นาย"ช" มีความผิด ลงโทษจำคุก 1 ปี

 

15. จากคำพิพากษาศาลที่ลงโทษ จำคุก 1 ปี ทำให้นาย "ช" ประสบกับปัญหา
- ปัญหาทางธุรกิจ ได้รับแจ้งจาก นาย "วัน" ว่า นาย "ก" ข่มขู่จะเผยแพร่ข่าวที่นาย "ช" ต้องโทษจำคุกซึ่งจะมีผลกระทบกับบริษัท XXXX ซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างการออกหุ้นกู้ 
- ปัญหาครอบครัว นอกจากนาย "ช" แล้ว ยังมีพี่สาว และน้องชายของนาย "ช" ที่ต้องโทษจำคุกด้วย จึงเกิดความขัดแย้งในครอบครัว จนคุณแม่เกิดความเครียด และเป็นโรคมะเร็ง
- นาย "ก" ขอให้ศาลถอนประกันข้าฯ โดยอ้างเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างคนงานก่อสร้างรั้วในที่ดินของบริษัท ++++ กับ ลูกน้องของนาย "ก" ที่เป็นพยานในคดีว่าเป็นการข่มขู่พยาน แม้ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้องแต่ศาลก็ได้อ้างเหตุว่า บุคคลที่จะยื่นคำร้องได้ต้องเป็นพยานในคดีและมีเหตุทะเลาะวิวาท ทำให้ นาย "ช" กังวลว่า จะมีการยื่นคำร้องขอถอนประกันอีกครั้ง และศาลจะอนุญาตให้ถอนประกัน
- ทราบว่า นาย "ว" เป็นผู้พิพากษาและคดีที่ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาก็ตกอยู่ในองค์คณะเดียวกันกับ คดีที่พิพากษาลงโทษจำคุก ยกเว้นคดีอาญาคดีแรกที่ศาลไต่สวนแล้วคดีไม่มีมูล ทำให้ข้าฯ เชื่อว่าในคดีอาญาอื่นๆ ที่ตกอยู่ในองค์คณะเดียวกันศาลจะมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก ไปในแนวทางเดียวกัน
-กังวลว่า บริษัท XXXX อาจถูกยกเลิกการร่วมทุนกับบริษัทจากญี่ปุ่น ต้องเสียหาย กว่า 10,000 ล้านบาท

 

16.นาย "ช" จึงมอบหมายให้นาย "วัน" กับนาย "จ" เจรจากับนาย "ก" และตกลงยอมชำระเงินให้แก่นาย "ก" ไป

 

17.ภายหลังจากที่ตกลงกับนาย "ก" แล้ว คดีที่นาย "ช" ถูกพิพากษาจำคุก 1 ปี ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้มีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปตาม ป.วิ อาญา มาตรา 39(4) เพราะคดี 6810/2558 ศาลมีคำพิพากษาไปก่อนแล้ว

 

18.นาย "ช" บอกกับ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของศาล ว่า มีการวางแผนฟ้องคดีเป็นขั้นเป็นตอน มีการแยกฟ้องหลายๆคดี ทั้งที่รวมฟ้องเป็นคดีเดียวได้ เพื่อให้ต้องตกเป็นจำเลยในหลายๆคดี และบีบให้ยอมตกลงจ่ายเงินให้ด้วย ซึ่งนาย "ก" น่าจะเป็นเพียงหุ่นเชิด เพราะ มีภาพถ่ายของนาย "ว" ปรากฎอยู่ในที่ดินในวันที่นาย "ก" นำรังวัดออกโฉนดที่ดินด้วย

 

19.ทราบจากนาย "วัน" ว่า นาย"ว" ไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาในข้อหา หมิ่นประมาท จากการร้องเรียนนี้ และห้ามไม่ให้นาย "ว" มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวนด้วย

logoline