
หลังจากมีการเผยแพร่เอกสารลับการติดต่อกันระหว่างผู้บริหารแอสตร้าเซนเนก้า กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ซึ่งพบข้อมูลว่าประเทศไทยประเมินความต้องการใช้วัคซีนเพียงเดือนละ 3 ล้านโดส และเพิ่งมาแจ้งขอเพิ่มในภายหลังเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา อีกทั้งรัฐบาลไทยยังสั่งซื้อวัคซีนช้าที่สุดในอาเซียน ทั้งๆ ที่มีฐานการผลิตในประเทศตัวเองนั้น
ปรากฏว่ามีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง หนึ่งในนั้นคือ ผศ.ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น ประธานที่ประชุมสภาคณาจารย์และข้าราชการแห่งประเทศไทย หรือ ทปสท. โดย อาจารย์เชษฐา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า จากการเปิดเผยเอกสารของแอสตร้าเซนเนก้า ทำให้ได้บทสรุปชัดเจนแล้วว่าการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐผิดพลาดอย่างน้อย 5 ข้อ ดังนี้
1. รัฐเข้าข่ายปกปิดความผิด สิ่งนี้อาจเป็นเหตุหนึ่งที่องค์การเภสัชกรรมไม่ยอมเปิดเผยสัญญากับแอสตร้าเซนเนก้า เพราะเอกสารชี้ชัดว่าไทยสั่งซื้อวัคซีนล่าช้า เพิ่งเซ็นสัญญาเมื่อเดือนมกราคมและพฤษภาคมปีนี้เอง
2. รัฐเข้าข่ายตัดสินใจเชิงบริหารล่าช้า เพราะเอกสารฉบับนี้ชี้ชัดว่าไทยสั่งซื้อวัคซีนล่าช้ากว่าประเทศอื่นในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม หรือแม้แต่ประเทศขนาดเล็กอย่างมัลดีฟส์ ทั้งๆ ที่ไทยเป็นแหล่งผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ประเทศอาเซียนอื่นไม่มี
3. รัฐเข้าข่ายวางแผนด้านราคาซื้อวัคซีนผิดพลาด ทำให้มีต้นทุนค่าเสียโอกาสสูง หรือ highly opportunity cost โดยในเอกสารชี้ชัดว่าไทยปฏิเสธคำแนะนำเรื่องเข้าร่วมโครงการ covax จึงทำให้ไม่ได้ซื้อวัคซีนแอสต้าเซนเนก้าในราคาต้นทุน แต่ราคาซื้อแพงกว่าที่ควรจะเป็น ในภาวะที่การคลังภาครัฐมีปัญหาอย่างหนักในปัจจุบัน
4. รัฐเข้าข่ายประเมินสถานการณ์ในอนาคตผิดพลาด เพราะไทยแจ้งไปยังแอสตร้าเซนเนก้าถึงการคาดการณ์ความต้องการใช้วัคซีนเพียงเดือนละ 3 ล้านโดส ทั้งๆ ที่ปัจจุบันเป็นที่ชัดเจนว่าการระบาดหนักสุดตั้งแต่เคยมีมา ทำให้สังคมเริ่มย้อนกลับไปตั้งคำถามต่อความแม่นยำในวิเคราะห์สถานการณ์ของบรรดาเทคโนแครต (technocrat) ด้านสาธารณสุขของไทย
5. รัฐเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน เพราะที่ผ่านมารัฐเคยให้ข่าวสาธารณะว่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป เป็นเวลา 5 เดือน ไทยจะได้รับวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าเดือนละ 10 ล้านโดส ซึ่งค้านกับเอกสารของแอสตร้าเซนเนก้านี้ที่ปรากฏออกมาว่าทางการไทยต้องการวัคซีนเพียงเดือนละ 3 ล้านโดส