ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล ผอ.สำนักงานประสานงานกระบวนการยุติธรรม สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีบริษัทสินมั่นคงประกันภัยบอกเลิกกรมธรรม์โควิดว่า การประกาศแจ้งยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อไวรัสโควิด โดยอ้างข้อ 2.4.3 และข้อ 2.5.1 ที่ให้บริษัทฯ ใช้สิทธิบอกเลิกได้นั้น ผมขอให้ความเห็นประเด็นข้อกฎหมายดังนี้
กรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทฯ เป็นข้อตกลงตามสัญญา ระหว่างประชาชนผู้เอาประกันภัย ซึ่งเป็นผู้บริโภค กับบริษัทฯ ผู้รับประกันภัย ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพ และยังมีลักษณะเป็นสัญญาสำเร็จรูป ที่มีการกำหนดข้อสัญญาที่เป็นสาระสำคัญไว้ล่วงหน้าแล้ว
หากข้อสัญญาใด ทำให้บริษัทฯ ผู้รับประกันภัยได้เปรียบประชาชนเกินสมควร ให้ถือว่าข้อสัญญานั้น เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และให้มีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรม และพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น
ในกรณีที่เป็นสัญญาสำเร็จรูป ให้ตีความสัญญาสำเร็จรูปไปในทางที่เป็นคุณแก่ฝ่ายประชาชน ผู้เอาประกันภัย ที่มิได้เป็นผู้กำหนดสัญญาสำเร็จรูป เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 วรรค 1 และวรรค 2
นอกจากนี้ ตามมาตรา 4 วรรค 3 (3) ประกอบกับมาตรา 10 ยังกำหนดให้ข้อตกลงที่ให้สิทธิบริษัทฯ บอกเลิกสัญญาได้โดยฝ่ายประชาชนผู้เอาประกันภัยมิได้ผิดสัญญาในข้อสาระสำคัญ ให้ถือว่าเป็นข้อตกลงที่ทำให้ได้เปรียบประชาชนผู้เอาประกันภัย ซึ่งเป็นคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควรด้วย เมื่อพิจารณาถึงอำนาจต่อรอง ฐานะทางเศรษฐกิจ ของบริษัทฯ รวมทั้งความคาดหมาย แนวทางที่เคยปฏิบัติ และทางได้เสียทุกอย่างของฝ่ายประชาชนผู้เอาประกันภัยตามสภาพที่เป็นจริง
ดังนั้นเมื่อพิจารณาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฯ แล้ว ข้อกำหนดหรือข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.4.3 และ ข้อ 2.5.1 ดังกล่าว ที่ให้บริษัทฯ ใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยได้ จึงไม่น่าจะมีผลบังคับใช้ได้ และถ้าหากบริษัทฯ ไม่ยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ประชาชนผู้เอาประกันภัย โดยอ้างสิทธิในการบอกเลิกกรมธรรม์
ประชาชนผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาล เพื่อขอให้วินิจฉัยว่าข้อกำหนดในกรมธรรม์ประกันภัยเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม บริษัทฯ เป็นฝ่ายผิดสัญญา และเรียกร้องให้บริษัทต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย รวมทั้งค่าเสียหายให้แก่ตนได้ และคดีนี้ถือเป็นคดีผู้บริโภค ซึ่งนำเอาพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาบังคับใช้