เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพจเฟซบุ๊คชื่อ "ศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง" ได้โพสต์ข้อความมหาวิทยาลัยไม่ใช่ "ค่ายกักกันปัญญา" เขียนโดยศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์นัก วิชาการอิสระชื่อดัง โดยระบุข้อความว่า1.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า "ตนเข้าใจดีเรื่องเสรีภาพ แต่เสรีภาพนั้น ไม่ว่าที่ไหนในโลก ต้องมีขอบเขต ใครที่ต้องการเสรีภาพที่สุดขั้วที่มากล้นกว่านี้ ก็ไม่ควรอยู่ในชุมชนมหาวิทยาลัย เพราะไม่มีใครบังคับให้อยู่ที่นี่" และ "อาจารย์ส่วนใหญ่พอใจในเสรีภาพวิชาการ แต่อาจารย์ส่วนน้อยนิด ถ้าไม่เชื่ออยากจะรุกล้ำอะไรมากกว่านี้ ตนก็เสียใจที่จะบอกว่าขอให้เตรียมตัวรับผลที่จะตามมาก็แล้วกัน"
ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีกล้าข่มขู่คุกคามเสรีภาพของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ และเหมือนกับว่าเป็นการพูดโดยไม่รู้เรื่อง/ไม่สำนึกถึงความหมายของมหาวิทยาลัยเลย ทั้ง ๆ ที่เอนก เหล่าธรรมทัศน์ควรจะสำนึกว่ามหาวิทยาลัยมีความหมายอย่างไรต่อสังคม เพราะเอนกก็เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เคยเป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์ อยู่ในบรรยากาศการสร้างสรรค์สติปัญญามาเนิ่นนาน แต่กลับมากล่าวข่มขู่และคุกคามเสรีภาพและนักวิชาการอย่างไร้สติปัญญา
การพูดที่แสดงว่าอเนก ไม่มีความสำนึกสำคัญเช่นนี้แล้ว ก็ควรจะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงอุดมศึกษาฯ ไปเสียเลยดีกว่า เพราะเอนกกำลังจะใช้อำนาจทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็น "ค่ายกักกันทางปัญญา"
อเนก คงจำได้กระมังว่าเสรีภาพทางวิชาการสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการแสวงหาความรู้เพื่อเข้าใจต้นตอของปัญหาในชีวิตของคนและสังคมและสร้างทางเลือกที่ดีกว่าเดิม ถ้าเสรีภาพในการอธิบายปัญหาและสร้างทางเลือกให้แก่การแก้ไขปัญหาถูกทำลาย แล้วบังคับให้ทุกคนต้องเดินอยู่บนเส้นทางแคบ ๆ เส้นทางเดิมและเส้นทางเดียวตลอดไป คนทั้งสังคมก็จะเสมือนตกอยู่ในความมืดบอดตลอดกาลไม่มีโอกาสมองเห็นแสงสว่างใหม่ ๆ ยิ่งสังคมเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและซับซ้อนมากเพียงใด เสรีภาพของมหาวิทยาลัยก็ยิ่งสำคัญมากขึ้น หากมหาวิทยาลัยกลายเป็น "ค่ายกักกันทางความคิด" เสียแล้ว จะอธิบายปัญหาและสร้างทางเลือกใหม่ ๆ ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างไร
ใครที่ขัดขวางทำลายเสรีภาพทางวิชาการจึงเท่ากับทำลายทางเลือกของสังคมไทยที่ที่จะแสวงหาเส้นทางไปสู่อนาคตที่งดงาม นักศึกษาประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้กล่าวไว้ว่าประวัติศาสตร์จะจารึกว่า "ยุคสมัยนี้ทรราชครองเมือง" และอเนกก็ได้ขายวิญญาณให้แก่ทรราชไปแล้ว
2.สังคมไทยกำลังเคลื่อนเข้าไปสู่ " ยุคนาซีใหม่" เพราะอำนาจดิบ/เถื่อน/ของทรราชเถลิงอำนาจขึ้นครอบงำสังคมไทยและปรับเปลี่ยนผู้คนในสังคมไทยให้กลายเป็น "อณู" ที่จะมีความหมายได้ก็ต่อเมื่อไปเชื่อมตัวเองกับอำนาจของทรราช "อณู"เล็ก ๆ ที่แยกกระจัดกระจายจึงทนรับได้กับการทำลายล้าง/ฆ่าเพื่อนบ้านชาวยิวที่เคยสนิทสนมกัน เช่น ในคืนวันกระจกแตก (Night of Broken Glass) เอนกยอมเป็นเครื่องมือของ "นาซีใหม่" ในการเปลี่ยนมหาวิทยาลัยให้เป็นค่ายกักกันทางความคิด ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเพาล์ โยเซ็ฟ เกิบเบิลส์ ( Paul Joseph Goebbels) รัฐมนตรีกระทรวงประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลฮิตเลอร์เลย
"นาซีใหม่" ในสังคมไทยเถลิงอำนาจ ด้วยการสร้าง "วัฒนธรรมแห่งความกลัว" (Culture of Fear) ด้วยการทำให้เกิดการกระจายความกลัวไปทุกระดับและทุกมิติ ในระดับสังคม ความยุติธรรมก็เอียงข้างอย่างเห็นได้ชัด การใช้คนเสื้อเหลืองที่พร้อมใช้ความรุนแรง การระบุและเลือกฝ่ายตัวเองให้ปรากฏต่อสายตาคนในสังคม ที่สำคัญ ทำให้ชีวิตคนที่ต้องการเสรีตกอยู่ในความไม่แน่นอนและมีแนวโน้มที่จะถูกกระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังคำข่มขู่ของรัฐมนตรีข้างต้น