svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าว

เจาะสนามเลือกตั้งเมืองเกินร้อย 3 ฝ่าย 2 ขั้วแข่งดุ

17 ธันวาคม 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ศึกเลือกตั้งนายกอบจ.เมืองร้อยเอ็ดแข่งดุเดือด 3 ฝ่าย 2 ขั้ว สู้กันยิงบตา ระหว่างอดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐที่แยกตัวมาเป็นอิสระ กับอดีต นายกอบจ.เก่าใหม่ ๆ หมาด ๆ ที่ ยังไม่จางกลิ่นตำแหน่งอย่าง"มังกร ยนต์ตระกูล" พร้อมกับเลือดใหม่ที่มีกลุ่มก้าวหน้าหนุนหลังอย่างสถาพร ว่องสัทธนพงษ์ ลูกชาย สานิตย์ ว่องสัทธนพงษ์ ที่ทั้ง 3 ขั้วแข่งกันดุเดือดเลือดพล่านเพื่อหวังคะแนนเสียง


การชิงตำแหน่งนายกอบจ.ร้อยเอ็ดในศึกเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 20 ธ.ค.นี้ แม้จะมีผู้สมัคร 6 คน แต่ที่ต่อสู้กันหนักและเป็นตัวเกร็งว่าจะชิงตำแหน่ง มีเพียง 3 คนเท่านั้น นั่นคือ หมายเลข 1 นายเอกภาพ พลซื่อ ที่ลาออกจาก พรรคพลังประชารัฐมาเป็นผู้สมัครอิสระ ใช้นโยบายหาเสียงว่า "นายกอบจ.จะต้องเป็นอิสระไม่ถูกครอบงำโดยพรรคการเมืองใหญ่จากส่วนกลาง ในการบริหารท้องถิ่น"  หมายเลข 2 นายสถาพร ว่องสัธนพงษ์ อดีต ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทายาททางการเมืองของอดีตส.ส นายสานิต ว่องสัธนพงษ์ และภรรยาของนายสานิตย์ เป็นประธานกลุ่มผู้นำสตรีพัฒนาชุมชน จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ลงสมัคร แข่งขันชิงตำแหน่ง ในนามกลุ่มก้าวหน้าของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ลงมาแข่งขันโดยหวังอาศัยกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มก้าวหน้า เข้ามาต่อสู้ ชิงตำแหน่ง กับกลุ่มประชาชนในสายหัวก้าวหน้า โดยมีผู้สมัครในสายของกลุ่มคนเสื้อแดง เข้าร่วมลงสมัคร ด้วยในหลายเขตเลือกตั้ง ส่วนหมายเลข 3 นายมังกร ยนต์ตระกูล ผู้สมัคร เพิ่งลงจากตำแหน่งนายกอบจ. หลังจากการทำหน้าที่ 12 ปี ที่หวังรักษาตำแหน่งเดิม ท่ามกลางข่าวหลายกระแสว่าลาออกจากเพื่อไทย เข้าสังกัดพลังประชารัฐ เพื่อปลดล๊อกอะไรบางอย่าง จนล่าสุดได้เปลี่ยนโปสเตอร์และป้ายว่า "สมัครในนามกลุ่มเพื่อไทย และให้สุดารัตต์ลงมาช่วยยืนยัน จนโดนร้องเรียนและล่าสุดต้องยกทีมบุคลเจ้าของ สโลแกน "เข้าสภา ต้องเจอเฉลิม และนอกสภาต้องเจอฉลาม" ลงพื้นที่ มาช่วยหาเสียง ในร้อยเอ็ด เพื่อการันตี ว่า มังกรยังอยู่พรรคเพื่อไทย เพื่อดึงเรตติ้ง และป้องกันคะแนนตก

เจาะสนามเลือกตั้งเมืองเกินร้อย 3 ฝ่าย 2 ขั้วแข่งดุ




สำหรับภูมิหลังของแต่ละคน หมายเลข 1 เอกภาพ พลซื่อ อดีตส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ภรรยาคือรัชนี พลซื่อ เคยดำรงตำแหน่งนายกอบจ. 1 สมัย และทำไมการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทั้งสามีและภรรยาลงสมัครส.ส.ร้อยเอ็ด ในนามพรรคพลังประชารัฐ แต่พลาดตำแหน่ง จากการเป็นส.ส.ทั้งคู่ เนื่องจากแพ้เลือกตั้งล่วงหน้าของพรรคเพื่อไทย ต่อมาได้ลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ ตามแกนนำ และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ ยกทีมลาออก จากพลังประชารัฐ และเอกภาพ พลซื่อ ประกาศตัวลงสมัคร ชิงตำแหน่งนายกอบจ.ร้อยเอ็ด แข่งขันกับ นายมังกรยนต์ตระกูลและนายสถาพร วงสัธนพงศ์ ผู้สมัคร 2 คน จากขั้วคนเสื้อแดง เพื่อไทย และขั้วคนรุ่นใหม่ กลุ่มก้าวหน้า ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งการลงสมัครรับบเลือกตั้งนายกอบจ.ของ นายเอกภาพ พลซื่อ ด้วยความเชื่อมั่น ประการแรก คือหวังความสัมพันธ์กับประชาชนจากการเลือกตั้งส.ส.ที่ผ่านมา ที่ความผูกพันยังไม่จาง หวังว่ายังคงจะได้คะแนนมาหนุนให้ได้รับตำแหน่ง อีกหนึ่งความเชื่อมั่นก็คือ นายเอกภาพ พลซื่อ ได้จับขั้วการเมืองในสายของตระกูล "จุรีมาศ" ที่มีฐานเสียงเข้มแข็งในหลายจุด ทั้งฐานเสียงจาก นายอนุรักษ์ จุรีมาก พรรคชาติไทยพัฒนาเขต 1 ร้อยเอ็ด โดยมีตกลงพันธสัญญาในทางลับว่า "หากได้รับเลือกเป็นนายกอบจ.จะจับมือกันจัดสรรงบประมาณหลายด้าน ในการพัฒนาสาธารณูปโภคความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ดร่วมกับส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา ที่มีนายอนุรักษ์ จุรีมาศ เพียงหนึ่งเดียวของชาติไทยพัฒนาเป็นแกน 


เจาะสนามเลือกตั้งเมืองเกินร้อย 3 ฝ่าย 2 ขั้วแข่งดุ



ในขณะที่จะมีการยกทีมผู้สมัคร ส.อบจ. เข้ามาเสริมทีม ของนายเอกภาพ พลซื่อ เพื่อดึงคะแนนจากทุกอำเภอที่เป็นจุดอับเพื่อให้ภาพนายเอกภาพ พลซื่อ ให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ด้วยสิ่งที่บ่งชี้ชัดเจนว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงในเงื่อนไขกันได้ โดยเห็นได้จาก การส่งผู้สมัครส.อบจ.ทั้งสิ้น ในสายของนายเอกภาพ พลซื่อ พบว่าแทบจะเกินกว่าครึ่งของผู้สมัครทีมนายเอกภาพ ทั้งหมด 21 คน ส่วนใหญ่คือผู้สมัครจากสายพรรคชาติไทยพัฒนา

การเลือกตั้งนายกอบจครั้งนี้ เป็นที่จับตาของเซียนการเมืองร้อยเอ็ดมาโดยตลอด และที่น่าสนใจที่สุดคือ ค่ายจุรีมาศ ที่เดิม นายทินกร จุรีมาศ อดีตนายกอบจ.คนแรก ของจังหวัดร้อยเอ็ด(ทินกร ฯนายก อบจ.คนแรก หลังเปลี่ยนแปลงกฏหมายให้มีตำแหน่งนายก อบจ.) จะมีความเคลื่อนไหวอย่างไร ลงหรือไม่ และเมื่อสรุปแล้ว นายทินกร จุรีมาศ วางมือไม่ลงสมัครแข่งขัน แล้วจะหันไปทางไหน ระหว่าง 1. เอกภาพ พลซื่อ 2. สถาพร ว่องสัธนพงษ์ และ 3. มังกร ยนต์ตระกูล เพราะหากตระกูลจุรีมาศหันไปเทคะแนนหนุนฝ่ายไหน ไพ่นั้นย่อมจะถือภาษีเหนือคู่แข่งได้ในระดับหนึ่ง สุดท้ายจึงค่อนข้างชัดเจนมากว่า กลุ่มจุรีมสศ ไม่มีทางที่จะไปหนุนกลุ่มบุคคลที่เคยเป็นคู่แข่งทางการเมือง เช่นตระกูล "ว่องสัธนพงษ์"  ที่เคยวิวาทะจากการขึ้นคะแนนส.ส.ผิดพลาดจนแทบจะเผาศาลากลาง สมัย  นายสานิต ว่องสัทธนพงษ์ ลงสมัคร ส.ส.แข่งกับ นายอนุรักษ์ จุรีมาศ


เจาะสนามเลือกตั้งเมืองเกินร้อย 3 ฝ่าย 2 ขั้วแข่งดุ

และก็ไม่มีทางที่ กลุ่มของ นายทินกร จุรีมาศ จะหันไปหนุนคนในตระกูล "ยนต์ตระกูล"  แถมเป็นลูกเขย ตระกูล "ไวนิยมพงษ์"  ที่เป็นคู่ปรับทางการเมืองกลุ่มสำคัญ จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้..แน่นอนคนที่ได้อานิสงส์ คือ นายเอกภาพ พลซื่อ นั่นเอง 



เจาะสนามเลือกตั้งเมืองเกินร้อย 3 ฝ่าย 2 ขั้วแข่งดุ




ในขณะมิตรแท้แต่บางทีก็จำต้องหมางเมินกันบ้าง เมื่อก้าวมายืนคนละขั้ว คือ นายสานิต ว่องสัทธนพงษ์กับนายเอกภาพ พลซื่อ ที่เคยลงสมัคร ส.ส.ร่วมพรรคพลังประชารัฐกัน หลังบ้านของนายสานิต แกนนำกลุ่มแม่บ้านสตรี ที่เคยทำงานด้วยกันกับ นางรัชนี พลซื่อ ภรรยาของนายเอกภาพ ก็ดูเหมือนว่าแยกขั้วกันเดิน เมื่อ นายสถาพร ประกาศตัวลงสมัครเลือกตั้งนายกอบจ.ทั้ง 2 ฝ่ายคงค่อนข้างจะวางตัวลำบากพอประมาณ นายกอบจ. 6 ผู้สมัครแต่มีตัวเต็ง 3 ฝ่าย 2 ขั้ว จึงเป็นสนามค่อนข้างจะดุเดือด เลือดพล่านของการโจมตี


เจาะสนามเลือกตั้งเมืองเกินร้อย 3 ฝ่าย 2 ขั้วแข่งดุ


ล่าสุดวันนี้ ต่างคนต่างยังเปิดปราศรัยกันดุเดือด นายเอกภาพ พลซื่อ หลายเลข 1 ประกาศตัวเป็นผู้สมัครอิสระ นำ 26 ผู้สมัคร ส.อบจ.ลงแข่งขัน ยังตั้งเวทีใหญ่รอบสอง หลังตั้งจุดปราศรัยเต็มพื้นที่หลักแล้ว ยังพาทีมบริหารที่วางตัวไว้ไหว้ขอคะแนนในหลายพื้นที่ ที่ยังคิดว่าเป็นช่องโหว่ โดยไม่มีแกนนำพรรคการเมืองไหนเข้ามาร่วมขึ้นเวที และกำหนดปราศรัยทิ้งท้าย 18 ธ.ค.นี้ ณ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ บึงพลาญชัย กลางเมืองร้อยเอ็ด 


ส่วนหมายเลข 2 นายสถาพร ว่องสัทธนพงศ์ ที่ส่งทีมงาน ส.อบจ.35 คน (เกือบเต็มพื้นที่ 36 เขต) ก็ย้ำปราศรัยใหญ่ โค้งสุดท้ายใน 3 อำเภอ และจุดสำคัญคือในเขต อ.เมือง ร้อยเอ็ด โดยมี แกนนำกลุ่มก้าวหน้า คือ นายปิยะบุตร และ นายธนาธร เดินทางมาร่วมปราศรัยขอคะแนนด้วย 


เจาะสนามเลือกตั้งเมืองเกินร้อย 3 ฝ่าย 2 ขั้วแข่งดุ


ส่วนนายมังกร ยนต์ตระกูล หมายเลข 3 นำทีม 32 ส.อบจ.ลงสนาม โค้งสุดท้าย ก็ยังมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง ลงพื้นที่ตอกย้ำคะแนนและความเชื่อมั่น ว่ายังเหนียวแน่นกับ ตระกูล "ไวนิยมพงศ์" ลงมาหาเสียงเก็บคะแนนหนุนเพิ่มเติมอีก เวทีสุดท้ายปราศัยที่เขต อ.ธวัชบุรี ที่เป็นเขตพื้นที่ฐานคะแนนหลักพื้นที่หนึ่ง ซึ่งเกาะกุมพื้นที่เหนียวแน่น โดยตระกูล "ไวนิยมพงศ์" พ่อตา ของมังกร ยนต์ตระกูล
โค้งสุดท้ายวันนี้ คะแนนเสียงเลือกตั้งที่ไม่เกิน 6 แสนเสียงโดยประมาณ คะแนน น่าจะ 30-30-40 โดย ให้ เอกภาพ และ มังกร คนละ 30 ซึ่งส่วนหนึ่ง อาจจะมีการถูกแบ่งไปโดยฝ่ายที่อยู่อันดับ 3 ส่วน 40 คือส่วนที่เหลือ ที่จะเป็นตัวแปรว่า "ใครสามารถใช้เทคนิคสอยมาได้มากกว่า"  ระหว่างนายเอกภาพ พลซื่อ ผู้โดดเดี่ยว มีคลังขุมกำลังที่จะเดินหน้าสู้โดยไม่ถอดใจหรือไม่ ในขณะที่ฝ่ายนายมังกร ยนต์ตระกูล ดูเหมือนว่าพร้อมทุกด้าน และมีขุมกำลังที่ไม่มีวันตก อาจจะได้เปรียบ "นอกเสียจากมี ปาฏิหาริย์ ที่เรียกว่า กระสุน จะแพ้ กระแส"เกิดขึ้น คำตอบทุกอย่างอยู่ที่ วันที่ 20 ธันวาคม 2563 รู้กัน.

logoline