เปิดอนุสัญญากรุงเวียนนา ขีดกรอบบทบาททูต

"เนชั่นทีวี" ตรวจสอบอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ในส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ระบุเอาไว้ชัดเจนในข้อ 41 สรุปว่า ผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษและความคุ้มกันทางการทูต ไม่มีหน้าที่ไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศเจ้าบ้าน และการดำเนินกิจกรรมใดๆ ต้องผ่านกระทรวงการต่างประเทศของประเทศเจ้าบ้าน หรือกระทรวงอื่นใดที่มีข้อตกลงก่อนเท่านั้น
ที่สำคัญต้องไม่ใช้ "สถานที่ทำการ" ทำการใดๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพันธกิจของคณะทูตตามที่ระบุในอนุสัญญา หรือข้อตกลง และกฎหมายระหว่างประเทศอื่นๆ
นี่คือสาระสำคัญของอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ซึ่งค่อนข้างชัดว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ทูตทั้ง 12 คน ส่อขัดอนุสัญญาฯ ทั้งประเด็นการแทรกแซงกิจการภายใน และการจัดกิจกรรมใดๆ โดยไม่แจ้งกระทรวงการต่างประเทศก่อนสำหรับมาตรการที่กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการ ด้วยการเชิญผู้แทนสถานทูตประเทศเหล่านั้นเข้าทำความเข้าใจนั้น ถือว่าเป็นมาตรการเบาที่สุดทางการทูต โดยมาตรการที่เข้มขึ้นมีเป็นลำดับ คือ 1.ออกแถลงการณ์ประณามว่าแทรกแซงกิจการภายในของไทย / 2.เรียกเอกอัครราชทูตมาพบเพื่อยื่นหนังสือประท้วง และ 3.ประกาศให้เป็นบุคคลไม่พึงปรารถนา และขับไล่ออกนอกประเทศก่อนหน้านี้ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รองศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ ปณิธาน วัฒนายากร บอกว่า การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศน่าจะใช้มาตรการขั้นต้นก่อน เรียกว่า "ทำความเข้าใจเพื่อการทำงานร่วมกันที่ดีขึ้นต่อไป" แต่หากยังมีปัญหาตามมาอีกจึงค่อยใช้มาตรการที่เข้มขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่ต้องการให้เรื่องนี้บานปลายกลายเป็นความขัดแย้งกับต่างประเทศยังมีความเห็นในมุมที่แตกต่างในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน อย่าง คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อวานนี้ ระบุว่า พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้มีคำเชิญอย่างเป็นทางการถึงสถานทูตต่างๆ ให้ไปสังเกตการณ์ที่โรงพักปทุมวัน แต่มีการอัพเดทข่าวสารกับสถานทูตบางแห่งตามปกติ สาเหตุที่เจ้าหน้าที่ทูตไปกันเยะ เพราะมีการชวนและประสานงานกันระหว่างสถานทูตเอง โดยคุณโบว์อ้างว่าข้อมูลนี้มาจากผู้แทนสถานทูตแห่งหนึ่งที่รู้จักกันเล่าให้ฟัง