โฆษกกรรมาธิการยุโรป มาการิทิส ชินาส เผยว่าหากสินค้าส่งออกของอียูได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐฯอียูก็พร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงขึ้นคิดเป็นมูลค่ารวม 20,000 ล้านยูโรป หรือประมาณ 23,000ล้านดอลลาร์ (กว่า 7.59 แสนล้านบาท)
จากสถิติของทางการสหรัฐฯในช่วง11เดือนแรกของปี61สหรัฐฯ นำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศมูลค่ารวม158,600ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่นำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯได้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่มีต่อกันในกลุ่มข้อตกลงสหรัฐฯ เม็กซิโก แคนาดาหรือ USMCA ส่วนตลาดอื่นๆ เช่นญี่ปุ่น เยอรมนี เกาหลีใต้ อังกฤษ ก็จะได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น และทรัมป์เองได้โพสต์ทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า ชื่นชอบการใช้มาตรการภาษีและชอบให้ประเทศคู่ค้ามาเจรจาต่อรอง
ด้านนักวิเคราะห์มองว่า 90 วัน ที่ผู้นำสหรัฐฯ จะใช้ในการพิจารณารายงานข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์นั้น แท้จริงแล้ว คือ ช่วงเวลาที่เปิดให้มีการวิ่งล๊อบบี้ ทั้งจากฝ่ายเห็นด้วยและฝ่ายที่คัดค้านการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนประกอบ
สำหรับประเทศไทยนั้นรองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ให้ความเห็นว่า หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนจากทั่วโลกเป็น 25% ไทยจะได้รับผลกระทบไปด้วย แต่คงไม่มากนัก เพราะตลาดอเมริกาเหนือ เฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ไม่ใช่ตลาดหลักของไทย (จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือของกรมศุลกากร ในปี 2561 ไทยส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไปสหรัฐฯ มูลค่า 29,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากจากปีก่อน 9.8% โดยตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนการส่งออก 3.1% ของการส่งออกในภาพรวม) อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพราะจะมีผลต่อการนำเข้า-ส่งออกของรถยนต์ของทั่วโลกในอนาคต