svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

เริ่มแล้ว กำแพงต้นแบบ กั้นสหรัฐฯ-เม็กซิโก

การก่อสร้างกำแพงต้นแบบกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐฯกับเม็กซิโก ที่มีถึง 8 แบบ และแต่ละแบบมีความสูง 9 เมตร ได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยมีกำหนดให้แล้วเสร็จภายในเวลา 1 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จบางส่วนของนโยบายหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะส่วนที่เหลือที่ยังต้องประเมินต่อไปก็คือ กำแพงจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการลักลอบข้ามพรมแดนจากเม็กซิโก และป้องกันการลักลอบค้ายาเสพติดได้หรือไม่ และที่สำคัญคือ เขาจะทำอย่างไรให้ฝั่งเม็กซิโกยอมออกค่าใช้จ่ายในการสร้าง

การก่อสร้างกำแพงต้นแบบ 8 แบบ แต่ละแบบมีความสูง 9 เมตร ยาว 9 เมตร ได้เริ่มขึ้นที่ด้านนอกซานดิเอโก นครใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่บริเวณชายฝั่งแปซิฟิก ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย และมีพรมแดนดิดกับรัฐบาฮากาลีฟอร์เนียของเม็กซิโกแล้ว ท่ามกลางการอารักขาของตำรวจท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง และการที่กำแพงมีถึง 8 แบบ ย่อมหมายถึงการใช้วัสดุที่แตกต่างกัน โดยมี 4 แบบ ที่สร้างด้วยคอนกรีต ส่วนที่เหลืออาจเป็นพวกวัสดุทางเลือก และถือเป็นการทดสอบเพื่อนำไปสู่แนวทางมาตรฐานของการออกแบบในอนาคต ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า ควรจะมีความยาวอย่างน้อย 1,600 ก.ม. 
ประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่งให้ความเห็นเมื่อวันศุกร์ (22) ว่า กำแพงควรจะโปร่งใสเป็นบางส่วนเพื่อป้องกันไม่ให้ฝั่งสหรัฐฯ ต้องเจอกับถุงยาเสพติดที่ถูกโยนข้ามมาจากฝั่งเม็กซิโก ทั้งยังเสนอให้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ บนกำแพงในบางช่วงด้วย ซึ่งสวนทางกับคำแนะนำในตอนแรกที่ว่า ควรจะสร้างด้วยคอนกรีตที่มีความแข็งแรง 
รอย วิลลาเรียล รักษาการหัวหน้าสำนักงานศุลกากรและพิทักษ์พรมแดน หรือ CBP กล่าวว่า ถือเป็นก้าวสำคัญในการดำเนินการตามคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีในด้านการปรับปรุงด้านการตรวจคนเข้าเมือง และการรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดน ซึ่งในส่วนของกำแพงคอนกรีต จะมีช่องที่เจ้าหน้าที่สามารถมองข้ามพรมแดนได้ ส่วนระยะเวลาก่อสร้างถูกกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่จะต้องใช้เวลาอีก 3 เดือน ในการประเมินแบบและประสิทธิภาพของกำแพง เช่น ความสวยงามและความคงทนต่อการถูกเจาะด้วยเครื่องมือขนาดเล็ก และยังจะต้องมีท่อวางสายเคเบิล และติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวและกล้องวงจรปิด
แม้จะมีผู้เสนอตัวสร้างกำแพงต้นแบบถึง 4 บริษัท แต่เชื่อว่า ในที่สุดแล้ว กำแพงน่าจะออกมาในรูปแบบของการนำลักษณะเด่นของกำแพงทั้ง 4 แบบมาผสมผสานกัน เพื่อเป็นแนวทางมาตรฐานของการออกแบบในอนาคต ก่อนจะค่อยๆ พัฒนา ให้เป็นไปตามข้อกำหนด 
บริษัท 4 แห่งที่ดำเนินการก่อสร้าง ได้เสนอราคาแบบไว้ที่ระหว่าง 400,000 - 500,000 ดอลลาร์ ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างกำแพงจริงจะสูงถึง 22,000 ล้านดอลลาร์ และใช้เวลามากกว่า 3 ปี จึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งในระหว่างการหาเสียง ทรัมป์ได้กล่าวหาเม็กซิโกว่า เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมสูงที่สุดของโลก ทำให้สหรัฐฯจำเป็นต้องสร้างกำแพงกั้นชายแดน และยืนยันให้เม็กซิโกรับผิดชอบค่าใช้จ่าย แต่เมื่อเขาเข้าไปอยู่ในทำเนียบขาว เขากลับบอกว่า ในเบื้องต้น การก่อสร้างต้องอาศัยงบประมาณของสหรัฐฯไปก่อน แต่เขาจะหาทางทำให้เม็กซิโกต้องยอมจ่ายให้ได้ 
การสร้างกำแพงต้องเผชิญอุปสรรคทั้งจากปัญหาย่อยไปถึงปัญหาใหญ่ เช่น มีชายชาวเม็กซิกันคนหนึ่งพยายามฝ่ารั้วกั้นและถูกจับ, มีการประท้วงต่อต้าน และการเผชิญการฟ้องร้องทางกฎหมายในซานดิเอโก เพื่อขัดขวางการสร้างกำแพงต้นแบบ ทั้งจากอัยการสูงสุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย, ส.ส.เดโมแครตและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคทางธรรมชาติ เช่น ภูเขาและแม่น้ำ, พื้นที่ขรุขระ ทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหลากหลายชนิดจำนวนมาก และยังต้องตัดผ่านที่ดินของชนเผ่าพื้นเมืองและพลเมืองทั่วไปด้วย 
นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะที่การที่ต้องสร้างกำแพงผ่านแม่น้ำ ริโอ แกรนด์ ที่กั้นพรมแดนระหว่างรัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ กับรัฐชีวาวา รัฐโกอาวีลา รัฐนวยโวเลออง และรัฐตาเมาลีปัสของเม็กซิโก ซึ่งสหรัฐฯกับเม็กซิโก ลงนามร่วมกันเมื่อปี 2432 ห้ามกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการไหลของแม่น้ำ ซึ่งหมายความว่า กำแพงอาจต้องขยับขึ้นไปบนตลิ่ง แต่ก็จะเกิดปัญหาตามมา เพราะเมื่อกำแพงต้องสร้างห่างจากแม่น้ำ ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างกำแพงกับพรมแดนอย่างเป็นทางการ ซึ่งหมายถึงว่า ชาวอเมริกันบางคนอาจจำต้องอยู่นอกกำแพง ซึ่งกลายเป็นฝั่งเม็กซิโกไปโดยปริยาย 
นี่แค่การสร้างกำแพงต้นแบบเท่านั้น ปัญหาก็ประดังประเดเข้ามาขนาดนี้ เมื่อถึงเวลาสร้างจริง อาจจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ทรัมป์มากกว่านี้ก็เป็นได้ โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ ที่แม้พรรครีพับลีกันจะครองเสียงข้างมากทั้งสองสภาฯ แต่การจะทุ่มเงินมหาศาล ในขณะที่ยังมองไม่เห็นหนทางว่าทรัมป์จะทำได้อย่างที่พูดว่า จะบีบให้เม็กซิโกรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ในขณะที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่สร้างกำแพงก็คงจะไม่พอใจนัก เมื่อทัศนียภาพที่พวกเขาคุ้นเคยถูกปิดกั้น จนเกิดความรู้สึกว่าเหมือนอยู่หลังกำแพงคุก ราวกับสูญเสียอิสรภาพ และเมื่อเวลานั้นมาถึง
ซึ่งแม้อาจจะไม่ใช่อนาคตอันใกล้ แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ยืดเยื้อที่อาจไม่จบในสมัยของทรัมป์ก็เป็นได้