"เนชั่น ทีวี" ได้สอบถามเรื่องนี้กับด็อกเตอร์ นายแพทย์ วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต บอกว่า บุคคลที่ก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว ในทางการแพทย์ไม่ได้มีการแบ่งประเภทว่า จะเป็นผู้ป่วยแบบใดบ้าง เพราะอย่างไรต้องมีบทลงโทษไว้รองรับอยู่แล้ว
แต่เมื่อหลังที่มีการก่อเหตุรุนแรงขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวผู้ต้องหามาทำการสอบปากคำ หากกรณีที่คนร้ายมีการอาการทางจิต ทางตำรวจก็จะส่งตัวมายังสถาบันจิตแพทย์ เพื่อขอคำปรึกษาอีกครั้ง โดยจิตแพทย์จะทำการประเมินว่า บุคคลนั้นสาเหตุใดที่ทำให้ต้องลงมือทำร้ายผู้อื่น ซึ่งจะทำการตรวจสอบทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น ขณะก่อเหตุมีการใช้ยาเสพติดจนกระตุ้นให้ลงมือ หรือ การเสพยาเสพติดเป็นระยะเวลายาวนานจนเกิดผลกระทบกระเทือนต่อระบบสมอง เห็นภาพหลอนจนคิดว่าจะมีคนทำร้าย และอีกลักษณะคือ บุคคลที่ก่อเหตุมีอาการทางจิตเวชอื่นๆ โดยผลการประเมินจากแพทย์ จะถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจและศาล เพื่อใช้ในการพิจารณาโทษฐานความผิด
หลังจากได้มีการตัดสินในฐานความผิดแล้ว หากคนร้ายมีอาการทางจิตเวชที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หรือมีการประเมินแล้วว่า อาจจะไปทำร้ายผู้อื่นซ้ำอีก ก็จะนำตัวไปรับการรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ แต่หากไม่ได้มีอาการรุนแรง หรือผลการประเมินไม่ได้ระบุว่า มีความกระทบกระเทือนทางสมอง ก็จะต้องเข้าสู่การตัดสินตามกระบวนการยุติธรรม หรือเข้าไปต้องโทษในเรือนจำ
โฆษกกรมสุขภาพจิต ยังบอกอีกว่า แนวทางแก้ไขต้องเริ่มจากครอบครัวและชุมชน ในการช่วยกันสังเกตอาการความเปลี่ยนแปลงของบุคคลนั้น ว่ามีสัญญาณไปในทิศทางใดบ้าง มีการใช้ความรุนแรง การใช้คำพูดรุนแรง หรือแม้แต่การสะสมอาวุธ
"เนชั่น ทีวี" ยังได้รับข้อมูลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องของกระบวนการตรวจประเมินทางนิติจิตเวชว่า กระบวนการตรวจประเมินผู้ที่ก่อเหตุ จะเริ่มจากการนำตัวผู้ป่วยที่ก่อเหตุมาตรวจร่างกาย และตรวจสภาพจิตก่อน จากนั้นจะพิจารณารับไว้สังเกตอาการในโรงพยาบาล เพื่อประเมินอาการทางจิต โดยสหวิชาชีพที่เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด ก่อนจะนำเข้าไปสู่การพิจารณาของคณะกรรมการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตว่า ผู้ป่วยนั้นมีอาการวิกลจริตในขณะที่ลงมือก่อเหตุจริงหรือไม่ ก่อนจะนำความเห็นเสนอตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้ คดีความรุนแรงในลักษณะดังกล่าว อาจจะเป็นบทเรียนให้กับวงการแพทย์และสาธารณสุข ที่สามารถเรียนรู้ได้ ก็คือ
1.การประเมินและดูแลผู้ป่วยนิติจิตเวชของไทย ควรทำให้เกิดระบบครอบคลุมทั่วประเทศ มีผู้เชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นให้เพียงพอต่อการดูแลผู้มีภาวะวิกลจริต แม้ปัจจุบันจะมีผู้เชี่ยวชาญที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์อยู่แล้ว แต่ไม่เพียงพอต่อการดูแลผู้ป่วยทั้งประเทศ
2.ความปลอดภัยของคนในชุมชน ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาล ชุมชน ตำรวจ ร่วมกัน โรงพยาบาลเพียงฝ่ายเดียว ไม่สามารถดูแลความปลอดภัยในชุมชนได้ตลอดเวลา หากทุกหน่วยร่วมมือกัน จะช่วยวางมาตรการป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
และข้อสุดท้าย อย่าเหมารวม หรือตีตราผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมด หนึ่งคนทำ อย่าให้ล้านคนผิด ผู้ป่วยจิตเวชที่กระทำผิดเพียงคนเดียว ไม่ได้หมายถึงว่าผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมดจะเป็นบุคคลอันตราย
สำหรับคดีสะเทือนขวัญในลักษณะนี้ หากย้อนกลับไปจะพบเป็นข่าวฮือฮาอย่างต่อเนื่องคดีแรกที่เชื่อว่า คนไทยจำกันได้อย่างดี ก็คือ คดีของ "จิตรลดา ตันติวาณิชยสุข" หญิงป่วยที่มีอาการทางจิต โดยเมื่อปี 2548 "จิตรลดา" เคยก่อเหตุแทงเด็กนักเรียนโรงเรียนเเห่งหนึ่งมาแล้ว ก่อนจะพ้นโทษออกมาเข้ารับการรักษาอาการอยู่ที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2563 จิตรลดา กลับมาก่อเหตุซ้ำ โดยใช้มีดปลอกผลไม้เเทงเด็กหญิงวัย 4 ขวบจนเสียชีวิตภายในร้านอาหารตามสั่ง จังหวัดนครปฐม
และอีกหนึ่งคดีสุดสะเทือนขวัญ ที่เห็นจะไม่มีคดีใดเกินคดีฆาตกรรมหมอนวดและนักร้องคาเฟ่ต่อเนื่อง โดยฝีมือของ "สมคิด พุ่มพวง" เจ้าของฉายา "คิด เดอะริปเปอร์" หรือ "แจ็ค เดอะริปเปอร์" เมืองไทย
นอกจากนี้ ก็มีคดีของนายหนุ่ย หรือติ๊งต่าง ฆาตกรต่อเนื่องฆ่าเหยื่อ 4 ราย ที่จังหวัดเลย 2 ราย และอีก 2 รายที่กรุงเทพ ก่อนจะมาฆาตกรรมเด็กหญิงวัย 6 ขวบ บริเวณพงหญ้าใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส แบริ่ง เมื่อเดือนธันวาคม 2556
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง"จิตรลดา" ก่อเหตุอีกแล้ว แทงเด็กหญิง 4 ขวบดับพลิก...กฎหมายคดี "จิตรลดา" วิกลจริต-บ้า..รอดคุก?เปิดรอยสักไอ้คลั่งรูปหนุมาน อ้างก่อเหตุอยากระบายแค้น