อาการท้องบวมหน้าบวม ที่เกิดขึ้นหลังรับประทานอาหาร อาจมีสาเหตุมาจาก "โซเดียม" ที่รับประทานมากเกินไปจากข้อมูลการสำรวจการบริโภคโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือ ของประชาการไทย ในปี 2550 โดยกรมอนามัยร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าประชากรไทยได้รับโซเดียมจากอาหารที่บริโภคสูงถึง 4,351.7 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งมากกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนดถึง 2 เท่า (ปริมาณแนะนำ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน)ซึ่งเราจะพบได้ในอาหารที่มีรสเค็มหรือพวกขนม เช่นผักกาดดอง ปลาร้า เต้าเจี้ยวกุ้งแห้ง ปลาสลิดตากแห้ง ปลาหมึกตากแห้ง หมูแดดเดียวซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำจิ้มสุกี้ เป็นต้น
การกินอาหารแบบ DASH ย่อมาจาก Dietary Approaches to Stop HypertensionSodium เป็นวิธีการกินอาหารเพื่อลดโซเดียม รวมถึงความดันโลหิตในร่างกาย คือ การกินอาหารที่มีกากใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่วต่าง ๆ แต่จากงานวิจัยพบว่า อาหารที่มีกากใยอาหารสูง ไขมันต่ำแบบนี้ หากรับประทานในปริมาณมาก อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอาการบวมในร่างกายได้ โดยเฉพาะท้อง โดยอาหารประเภทนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการบวมมากถึง 41% เมื่อเทียบกับอาหารที่มีกากใยอาหารต่ำ นอกจากนี้ผู้ชายยังมีความเสี่ยงเกิดอาการท้องบวมมากกว่าผู้หญิงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อสืบสาวไปถึงต้นตอของปัญหา พบว่า การกินอาหารแบบ DASH ที่ไม่ได้ควบคุมปริมาณโซเดียม (กินผักผลไม้มากก็จริง แต่ก็ยังกินอาหารรสเค็ม ใส่เครื่องปรุงเยอะอยู่) ต่างหาก ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการบวม ดังนั้นต่อให้คุณรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากแค่ไหน แต่หากไม่จำกัดปริมาณโซเดียมที่กินเข้าไปในแต่ละมื้อ แต่ละวัน คุณก็ยังเกิดอาการบวมตามร่างกายได้ หนำซ้ำยังเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ เช่นความดันโลหิตสูง และโรคไตได้อีกด้วย
ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารคลีนอาหารที่มีการปรุงรสชาติให้น้อยที่สุด จึงเป็นทางเลือกของอาหารสายสุขภาพที่แท้จริง หลีกเลี่ยงเครื่องปรุงรส หันมาใช้สมุนไพร และเครื่องเทศต่าง ๆ เพื่อเพิ่มกลิ่น และรสชาติ และหลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปที่มักมีปริมาณโซเดียมสูง แล้วหันมาปรุงอาหารจากวัตถุดิบสดใหม่ทุกมื้อกันจะดีกว่า
สิ่งที่สำคัญเราควรหันมาออกกำลังกายทางการแพทย์แนะนำให้ ออกกำลังกายนานประมาณ 10 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3 วัน หรือ วันเว้นวัน หรือ ออกกำลังกาย 10 นาที แล้วรู้สึกเหนื่อยก็ให้หยุดพักก่อน แล้วจึงออกกำลังกายต่ออีก จนครบเวลา 30 นาที ก็ได้