ซึ่งปัจจุบันสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าทั่วโลกรวมทั้งไทยที่เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออก แต่ไทยมีจุดแข็ง คือ สินค้าส่งออกมีความหลากหลาย มีการกระจายสินค้าไปสู่ตลาดอื่นที่มีศักยภาพโดยเฉพาะตลาด CLMV และอินเดียที่การส่งออกมีการเติบโตสูงในหลายกลุ่มสินค้า
ทั้งนี้ แม้ว่าสงครามการค้าทำให้การส่งออกสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีนลดลง แต่สินค้าไทยโดยเฉพาะสินค้าที่ทดแทนสินค้าจีนยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในตลาดสหรัฐฯ ทำให้ผลกระทบของสงครามการค้าในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2562 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.5%ของการส่งออกทั้งหมดของไทยเท่านั้น
อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์เตรียมแนวทางรับมือสงครามการค้าและส่งเสริมการส่งออก 4 ด้าน คือ
1. การป้องกันไม่ให้เกิดการใช้ไทยเป็นแหล่งสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าและเฝ้าระวังและป้องกันการไหลเข้าในกลุ่มสินค้าสำคัญ ได้แก่เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ฯ อะลูมิเนียม เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้ารองเท้า และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่นๆ เครื่องจักรไฟฟ้าฯ ทองแดง และเคมีภัณฑ์จากมาตรการภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศและผู้บริโภค
2. บริหารจัดการตลาดและการส่งออกโดยมียุทธศาสตร์รักษาตลาดเดิม อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ อาทิอาเซียน ตะวันออกกลาง และฟื้นตลาดเก่าอาทิ อิรัก ซึ่งเคยทำการค้าข้าวกับไทยมาก่อนแต่มีเหตุให้หยุดชะงักไป
3. การเจรจาการค้า ขณะนี้ไทยมีความตกลงการค้าเสรี(FTA) 13 ฉบับกับ 18 ประเทศและอยู่ระหว่างการเจรจาความตกลง "อาร์เซ็ป" (RCEP) ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ภายในปลายปีนี้และกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะเปิดการเจรจากับคู่ค้าอื่นๆ ที่มีศักยภาพ อาทิสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ตลอดจนพิจารณาแนวทางการเข้าร่วมความตกลง "ซีพีทีพีพี"(CPTPP) ซึ่งคาดว่าจะทราบผลการศึกษาในเร็วๆ นี้
4. ด้านการลงทุนที่นอกจากจะต้องส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศและการลงทุนขาเข้าเพื่อยกระดับห่วงโซ่มูลค่าและอุตสาหกรรมของไทยแล้วยังต้องส่งเสริมให้การลงทุนขาออกมีการนำสินค้าไทยออกไปอีกด้วย
นอกจากนั้นกระทรวงพาณิชย์ยังมีแผนเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจใหม่ที่สร้างมูลค่าสูงโดยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจร (Bio Economy) ทั้งด้านสินค้าอาหาร และไม่ใช่อาหารด้านเภสัชกรรม และการท่องเที่ยว เพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านเกษตรกรรมของไทยและเพิ่มมูลค่าภาคบริการจากภาคการค้าและการส่งออกให้มากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่นการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง การขนส่งและโลจิสติกส์การรักษาพยาบาล สุขภาพและความงาม ดิจิทัลคอนเทนต์ เป็นต้น
นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวทิ้งท้ายถึงปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ ดังนี้
1. การปลูกฝังกระบวนคิดเชิงดิจิทัล
2. การพัฒนาทุนมนุษย์
3. การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
4. การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐเอกชน และประชาชน
5. การพัฒนาอย่างครอบคลุมและทั่วถึงทุกภาคส่วน
โดยภาครัฐมีหน้าที่สร้างความเข้มแข็งด้านการเชื่อมโยงในมิติต่างๆทั้งในด้านภูมิภาค ดิจิทัล การเงิน พลังงาน และระหว่างผู้คนด้วยกันรวมทั้งผลักดันให้ทุกภาคส่วนตระหนักรู้ถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีสามารถนำมาปรับใช้ และปรับตัวไปสู่โลกแห่งเทคโนโลยียุคใหม่ได้ รวมทั้งภาครัฐยังต้องส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ อาทิ ความร่วมมือกับประเทศในกลุ่ม CLMVT หรือ อาเซียน โดยร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันทั้งภาคีภายนอกภูมิภาค และประชาคมโลกเพื่อก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมีพลวัต และยั่งยืนในทุกมิติ