"ต่อไปพรรคการเมืองไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาฯ พรรคเกิดภาวะเสียงแตก ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพียงพรรคเดียว ซึ่งก็ถือว่าตรงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 60 แต่คะแนนส.ส.ที่ได้มานั้นจะมาจากการสับสนได้มาจากการเข้าใจผิด ประเทศเราไม่เคยใช้เช่นนี้มาก่อน"นางสดศรี กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าประเด็นนี้พรรคการเมืองส่วนใหญ่คงไม่เห็นด้วย และอาจจะแก้เกมด้วยการให้หัวคะแนนแต่ละพรรคแจ้งเบอร์แจ้งชื่อกับประชาชนจดไว้ใส่ในมือ เพื่อเข้าไปกาในคูหา และประเด็นนี้จะทำให้เกิดความวุ่นวาย เชื่อว่ากกต.คงจะไม่ยอม ต่อไปก่อนเข้าคูหาคงต้องตรวจดูมือกันแทบทุกคน
จี้ตุลาการศาลรธน.ลาออกยกคณะ สร้างบรรทัดฐานเดียวกัน หลัง กรธ.ให้อยู่ต่อ
นางสดศรี ยังกล่าวถึงกรณีที่กรธ.ได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันหลักการเดิมให้คงองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน และให้คณะกรรมการสรรหาเป็นผู้พิจารณาถึงคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ ว่า ในเมื่อกรธ.มีหลักการที่จะเซ็ตซีโร่กกต.แล้ว ก็ต้องยึดหลักการเช่นนี้เหมือนกันทุกองค์กร ไม่ใช่ปฏิบัติไม่เหมือนกัน ทำให้ถูกมองว่าเลือกปฏิบัติ เกิดความแตกแยก ถูกสังคมมองว่าเกิดจากการพละการของผู้มีอำนาจ ซึ่งประเด็นนี้ตนก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมกกต.ถึงถูกเซ็ตซีโร่ และยกเว้นผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลรัฐธรรนูญไว้
"หากเซ็ตซีโร่กกต.ก็ต้องเซ็ตซีโร่ทุกองค์กรเช่นกัน ไม่ควรมีข้อยกเว้น เพราะกฎหมายใดที่เขียนขึ้นมาโดยไม่มีความเท่าเทียมกฎหมายนั้นจะอยู่ได้ไม่นาน ส่วนตัวเห็นด้วยที่ให้กกต.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความประเป็นที่ถูกเซ็ตซีโร่ แต่กกต.คงเห็นว่าเกมโอเวอร์แล้ว แต่เรื่องนี้เป็นปัญหา ศาลรัฐธรรมนูญก็ควรลาออกทั้งหมด ไม่ต้องติดยึดกับตำแหน่ง เพื่อทำให้เกิดบรรทัดฐานเดียวกัน"นางสดศรี กล่าว