svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

ยกฟ้อง"สนธิ-สื่อเครือผู้จัดการ"ไม่ผิดหมิ่น"ไทยรักไทย-ทักษิณ"

16 ธันวาคม 2559
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ศาลฎีกา พิพากษายืนยกฟ้อง"สนธิ ลิ้มทองกุลสื่อเครือผู้จัดการรวม 11 ราย"ไม่ผิดหมิ่น"ไทยรักไทย-ทักษิณ"จัดเสวนาชำแหละปฏิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย ปี 49 ศาลชี้ วิพากษ์ผู้นำรัฐบาล บนมูลความไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดิน เรื่อง พรรคการเมืองหลักพรรคเดียว - การปฏิรูประบบราชการการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ขณะที่ฝ่ายไทยรักไทย สืบพยานไม่ชัด


ที่ห้องพิจารณา 913 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 16 ธ.ค.59 เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1818/2549 ที่นายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคไทยรักไทย มอบอำนาจให้ นายนพดล มีวรรณะเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุลอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.),นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทองอดีต ส.ว.กทม.,นายชัยอนันต์ สมุทวณิช,นายปราโมทย์ นาครทรรพนักวิชาการอิสระและคอลัมนิสต์,บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบดาวเทียมASTV ,นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล,นายพชร สมุทวณิช,นายขุนทอง ลอเสรีวานิชกรรมการ บ.ไทยเดย์ฯ,บริษัท แมเนจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน),น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.แมเนเจอร์ และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณผู้ดูแลเว็บไซต์แมเนเจอร์ เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328
กรณีเมื่อวันที่ 24 - 28 พ.ค. 49 พวกจำเลย ร่วมกันจัดเสวนา เรื่อง"ปฏิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย"ซึ่งถ่ายทอดสด ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ASTVและเว็บไซต์ผู้จัดการ หมิ่นประมาทโจทก์ว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไปสู่การปกครองในระบอบทักษิณ โดยมุ่งหมายเข้าบริหารประเทศตามปฏิญญาฟินแลนด์
โดยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องจำเลย เพราะเห็นว่า เป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของนายทักษิณ โจทก์ในฐานะผู้นำรัฐบาลขณะนั้น ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถพึงกระทำได้
ต่อมานายทักษิณ และพรรคไทยรักไทย โจทก์ ได้ยื่นฎีกาขอให้ลงโทษพวกจำเลยด้วย
ขณะที่วันนี้ศาลเบิกตัว นายสนธิ จำเลยที่1 มาจากเรือนจำคลองเปรม เพื่อฟังคำพิพากษา ส่วนจำเลยร่วมรายอื่นก็มาศาล ขาดเพียงนายชัยอนันต์ สมุทวณิชนักวิชาการอิสระและคอลัมนิสต์ จำเลยที่ 3 ซึ่งมีอาการป่วยหนัก จึงไม่สามารถเดินทางมาศาลได้
ศาลพิจารณาแล้วจึงได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า พรรคไทยรักไทย โจทก์ที่ 1 เป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก ได้จัดตั้งรัฐบาล มีนายทักษิณ โจทก์ที่2 เป็นนายกรัฐมนตรี โดยโจทก์ทั้งสอง บริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ทั้งสอง ย่อมมีผลกระทบต่อประชาชนและผลประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งสถาบันสำคัญของชาติ จึงถือได้ว่าโจทก์ทั้งสอง เป็นบุคคลสาธารณะด้วย
การที่จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันเสวนาในหัวข้อเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย เป็นการนำเรื่องราวหรือหัวข้อที่กำลังเป็นที่สนใจในขณะนั้นมาพูดคุยถกเถียงกัน ซึ่งเนื้อหาสาระประกอบด้วย หัวข้อเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ทั้งสอง คือเรื่องการทำให้พรรคการเมืองหลักพรรคเดียว , การปฏิรูประบบราชการ , การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ , การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน แม้จะไม่ปรากฏว่าหัวข้อดังกล่าว เป็นนโยบายนายทักษิณ โจทก์ที่2 แถลงต่อรัฐสภาหรือไม่ แต่ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลของโจทก์ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินอยู่
ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 หยิบยกเอาการกระทำที่ผ่านมา ของนายทักษิณ โจทก์ที่2 มายืนยันว่ามีการกระทำหลายประการที่ไม่เหมาะสม เช่น ประเด็นหัวข้อที่อาจจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ลดบทบาทลงเป็นเพียงสัญลักษณ์ได้ในอนาคต ซึ่งเป็นหัวข้อเสวนาเกี่ยวกับมีการพยายามทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ แม้พยานโจทก์ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย จะได้เบิกความว่า โจทก์ทั้งสองไม่เคยมีแนวคิดหรือการกระทำดังกล่าว แต่โจทก์ทั้งสอง ก็ไม่ได้นำสืบว่าโจทก์ไม่ได้มีการกระทำดังที่จำเลยที่ 1-4 ได้กล่าวยกตัวอย่างไว้ในการเสวนา การเสวนาดังกล่าวจึงเป็นการแสดงความเห็นอยู่บนมูลฐานของข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1-4 ไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ทั้งสอง
ขณะเดียวกันก็ยังมีบุคคลที่มีบทบาทหน้าที่ในบ้านเมือง เช่น นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ และ พล.อ.สายหยุด เกิดผลเป็นต้น ที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการบ้านเมืองของโจทก์ทั้งสองในบางประการเช่นกัน ดังนั้นหัวข้อที่เสวนา จึงเป็นประเด็นที่สังคมยังมีการโต้แย้งถกเถียงกันอยู่
ส่วนประเด็นที่มีการใช้ถ้อยคำเรียก พรรคไทยรักไทย โจทก์ที่ 1 ว่า แก๊งเลือกตั้งหรืออั้งยี่เลือกตั้งนั้นได้ความว่า นายปราโมทย์ นาครทรรพจำเลยที่ 4 เป็นผู้กล่าวในการเสวนา ซึ่งแม้จำเลยที่ 4 จะใช้ถ้อยคำรุนแรงไปบ้าง แต่ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่ทำให้โจทก์ทั้งสองเกิดความเสียหาย ดังนั้นการเสวนาของจำเลยที่ 1-4 จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือประชาชนย่อมกระทำได้ ตามประมวลกฎมายอาญา มาตรา 329(3) จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
และโจทก์ทั้งสองฎีกาว่า ไม่เคยบริหารโดยใช้ปฏิญญาฟินแลนด์หรือยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ตามที่ได้ถูกกล่าวหา ศาลฎีกาเห็นว่า นายปราโมทย์ นาครทรรพจำเลยที่ 4 เป็นผู้เขียนบทความเรื่องยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ แผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองไทย เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ก่อนที่จะจัดการเสวนาดังกล่าวขึ้น ขณะที่การเสวนานั้นจำเลยที่ 1-4 ก็ไม่มีผู้ใดยืนยันว่า นายทักษิณโจทก์ที่ 2 ได้ไปร่วมตกลงกับผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยที่ประเทศฟินแลนด์แต่อย่างใด ดังนั้นจำเลยที่ 1-4 จึงไม่ได้ใส่ความโจทก์ทั้งสองในเรื่องนี้ และการเขียนบทความเรื่องยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์นั้นก็เป็นคนละส่วนกับการเสวนา ซึ่งนายทักษิณ โจทก์ที่2 ได้แยกฟ้องนายปราโมทย์ จำเลยที่4 เป็นอีกคดีหนึ่งแล้ว จึงไม่สามารถนำมาเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1-4 ในคดีนี้ได้
ดังนั้นเมื่อการเสวนาของจำเลยที่ 1-4 ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท จำเลยที่ 5-9 และ 11 ซึ่งโจทก์ระบุว่า เป็นผู้ร่วมจัดเสวนาและนำเอาถ้อยคำไปเผยแพร่ จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทเช่นกัน ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วย พิพากษายืนให้ยกฟ้อง
ภายหลัง นายสุวัตร อภัยภักดิ์ทนายความฝ่ายจำเลย กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาในวันนี้มีรายละเอียดครบถ้วน ชัดเจน บรรยายถึงพฤติการณ์ของระบอบทักษิณได้อย่างเด่นชัด

logoline