ฟิลิปปินส์ ประกาศพร้อมช่วยเหลือผู้อพยพชาวโรฮิงญาและบังคลาเทศ

นางไลลา เด ลิม่า รัฐมนตรียุติธรรม กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับผู้แทนของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ว่า ในฐานะที่เป็นภาคีของ อนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยปี 1951 ฟิลิปปินส์มีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้าน มนุษยธรรมแก่ผู้อพยพ ซึ่งส่วนใหญ่หลบหนีการถูกข่มเหง ซึ่งเธอคิดว่า การพิจารณาด้านมนุษยธรรม ควรก้าวข้ามการพิจารณาอื่นๆ และสิ่งแรกของความกังวลด้านมนุษยธรรม คือ การช่วยชีวิต

ผู้อพยพเกือบ 3,000 คน ได้ว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งหรือไม่ก็ได้รับการช่วยเหลือจากอินโดนีเซีย, มาเลเซียและไทย และเชื่อว่า อีกหลายพันคน ยังอยู่บนเรือที่ลอยลำอยู่ในทะเล โดยปราศจากน้ำและอาหาร ขณะที่รัฐบาลทั้งสามชาติ กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ที่ผลักดันเรือผู้อพยพบางลำออกไป ซึ่งเชื่อว่า เรือเหล่านี้ถูกแก๊งค้ามนุษย์ลอยแพหลังจากถูกทางการไทยกวาดล้างอย่างหนัก

นายเบอร์นาร์ด เคอร์บลัท ผู้แทน UNHCR ประจำฟิลิปปินส์ กล่าวว่า นี่ไม่ใช่วิกฤตที่สามารถแก้ปัญหาได้โดยประเทศเดียว แต่มันเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ด้านนายเฮอร์มินิโอ โคโลมา โฆษกของประธานาธิบดีเบนิกโญ่ อากิโน กล่าวว่า ฟิลิปปินส์เปิดกว้างให้ความช่วยเหลือผู้อพยพ ในฐานะประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิคแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ชาวโรฮิงญา เป็นชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอิสลามในเมียนมา และไม่มีสิทธิทางกฎหมาย ทำให้ตกเป็นเหยื่อของพวกแก๊งค้ามนุษย์ มาเลเซียและไทย ต่างเรียกร้องให้เมียนมา ยับยั้งการหลั่งไหลของชาวโรฮิงญา

แต่เมียนมาปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอ้างว่า คนเหล่านี้เป็นผู้อพยพโดยผิดกฎหมายจากบังคลาเทศ และแม้ว่า ผู้แทน UNHCR ประจำฟิลิปปินส์ จะบอกว่า ฟิลิปปินส์และเมียนมา ได้รับเชิญไปเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยวิกฤตผู้อพยพ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในวันที่ 29 พ.ค.ทั้งสองประเทศก็ยังไม่ได้ยืนยันว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ แต่บังคลาเทศ, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, เวียดนาม, ออสเตรเลียและสหรัฐ ต่างอยู่ในกลุ่มรัฐบาล 15 ประเทศ ที่จะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุม ที่เขาบอกว่าเป็น "ขั้นตอนของทิศทางที่ถูกต้อง"