อนาคตไทยและจีน ในอาเซียน

การจัดงานสัมมนาครบรอบ 40 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ในหัวข้อ อนาคตไทยและจีนในอาเซียน ในวันนี้ มีฯพณฯ หนิง ฟู้ขุย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย มาร่วมเป็นประธานเปิดงาน มีประธานสภาธุรกิจไทย-จีน สุนทร ว่องกุศลกิจ, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และ รองประธานสภาธุรกิจไทย-จีน วิกรม กรมดิษฐ์ เข้าร่วมพร้อมเสวนาถึงแนวทางเศรษฐกิจของไทยและจีน ในอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

โดยประเด็นหลัก หรือ ไฮไลท์การจัดงานครั้งนี้ อยู่ที่การเสวนาร่วมกันบนเวที ซึ่ง มี 2 ผู้บริหารบ.ยักษ์ใหญ่ อย่าง เครือสหพัฒน์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และ บ.ไทยยูเนียน โฟรเซ่นโปรดักส์ ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนี้ โดยมีประธานเครือเนชั่น ผู้นำด้านสื่อสารมวลชนที่ครบวงจรขนาดใหญ่ของประเทศไทย สุทธิชัย หยุ่น ดำเนินการเสวนา

โดยประธานกรรมการ บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่นโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) (TUF) ไกรสร จันสิริ บอกว่า การเปิดการค้าเสรีอาเซียน ที่จะทำให้ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจีน ที่ปัจจุบันถือเป็น 1 ในประเทศที่มีอำนาจและศักยภาพทางเศรษฐกิจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นถือเป็นเรื่องดี

ไทยเองจะต้องปรับปรุง เตรียมพร้อมรับมือ ในเรื่องของ ภาษา ประเพณี และวัฒนธรรมของต่างชาติเอาไว้ด้วย ทั้งนี้เห็นว่าจุดเด่นในการทำธุรกิจของคนจีนนั้น จะมีความอดทนสูง สู้ไม่ถอยมากว่าคนไทย

ขณะที่ตั้งของประเทศไทยนั้น ถือเป็นจุดได้เปรียบของการเป็นศูนย์กลางอาเซียนที่ทำให้จีนและอีกหลากหลายประเทศอยากเข้ามาลงทุนหรือร่วมทุนด้วย สำหรับประสบการณ์ที่ผ่านมาของการทำธุรกิจของ TUF นั้น จะต้องสร้างความเข้าใจให้แก่ลูกค้าจีนก่อนจะเจาะตลาดอาหารกระป๋องเข้าไปในประเทศได้จนเป็นที่ยอมรับ เพราะคนจีนส่วนใหญ่ยังยึดติดค่านิยมแบบเดิมที่กลัวสารกันบูดที่เป็นอันตรายจากอาหารกระป๋องและนิยมกินอาหารทะเลแบบสดๆ มากกว่า

ขณะที่ประธานเครือสหพัฒน์ บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ก็บอกว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นมีการปรับลดค่าเงินเยนลง ส่วนหนึ่งเป็นของเศรษฐกิจภายในประเทศ และอีกส่วนหนึ่งก็ต้องการที่จะแข่งขันในเชิงเศรษฐกิจกับจีนด้วย

โดยไทยเองจะต้องมองให้เห็นโอกาสในการเริ่มหรือร่วมลงทุนธุรกิจ ซึ่งจุดเด่นหนึ่งที่สำคัญของคนจีนในการทำธุรกิจที่ไทยเราควรจะนำมาปรับใช้ คือ เรียนรู้เร็วและตัดสินใจเร็วนั่นเอง