17 กันยายน 2565 กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับ "บัตรทอง" หรือบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้เป็น “บัตรทองพรีเมี่ยม” เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ เพิ่มคุณภาพ และบริการ มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพ ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยโรคร้ายแรง ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง และผู้ป่วยที่ต้องการเข้าถึงการวินิจฉัยและการดูแลสุขภาพผ่านทางออนไลน์ (Telemedicine) ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของการเข้ารับการรักษาและดูแลสุขภาพในปัจจุบัน
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพประชาชน และการเข้าถึงบริการภาครัฐของพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขพัฒนาบัตรทอง หรือบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้เป็น “บัตรทอง
พรีเมี่ยม” เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ เพิ่มคุณภาพ และบริการ
ผู้ถือบัตรทองสามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ในโรงพยาบาลรัฐที่เป็นโรงพยาบาลปฐมภูมิทั่วประเทศ นอนโรงพยาบาลโดยไม่ต้องมีใบส่งตัว นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงบริการอย่างปลอดภัย ไม่มีเงื่อนไขในการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลภายใน 72 ชั่วโมง หรือพ้นภาวะวิกฤติ
" เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการรักษาพยาบาล สามารถเปลี่ยนสิทธิรักษามีผลทันทีไม่ต้องรอ 15 วัน ผ่านแอปพลิเคชั่นของ สปสช. หรือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด สะดวกสบาย ประหยัดทั้งค่าใช้จ่ายและเวลาการเดินทางไปรักษา "
นอกจากนี้ ผู้ถือบัตรทอง ยังสามารถรับการบริการสาธารณสุขระบบทางไกล (Telehealth/Telemedicine) และการตรวจทางห้องปฏิบัติการนอกโรงพยาบาล สามารถรับยาที่ร้านขายยาแผนปัจจุบันใกล้บ้านสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หืด จิตเวช และโรคเรื้อรังอื่น ๆ บริการส่งยาเวชภัณฑ์ถึงบ้านทางไปรษณีย์ การใช้กัญชาทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง พาร์กินสัน ไมเกรน
ขณะที่จำนวนสถานพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพ มีถึง 15,505 แห่ง ครอบคลุมเขตพื้นที่ สปสช. ทั้ง 13 เขต
สำหรับข้อมูลการจำแนกสิทธิหลักประกันสุขภาพในประเทศไทย ประจำเดือนสิงหาคม 2565 (ข้อมูล ณ วันที่ 15 กันยายน 2565) โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จากจำนวนประชากรในประเทศ 67,286,989 ราย แบ่งเป็น
สิทธิประโยชน์ "บัตรทองพรีเมี่ยม"
สิทธิบัตรทอง นอกจากจะใช้กับกรณีการเจ็บป่วยทั่วไป บดเจ็บ ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วยฉุกเฉิน และเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต (UCEP) ยังมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ครอบคุลมผู้มีสิทธิบัตรทองกว่า 47 ล้านคน ดังนี้
นอกจากนี้ สปสช. เปิดให้ผู้มีสิทธิบัตรทองที่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา สามารถเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ที่หน่วยบริการปฐมภูมิใดก็ได้ โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว และผู้ป่วยใน ไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว รวมถึง สามารถเปลี่ยนหน่วยบริการประจำใหม่ และใช้สิทธิบัตรทองได้ทันที ไม่ต้องรอระยะเวลาเกิดสิทธิ 15 วัน (สามารถเปลี่ยนหน่วยบริการประจำได้ไม่เกิน 4 ครั้ง ต่อปีงบประมาณ)
ทั้งนี้ สปสช. ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ 2565 จำนวน 198,891.79 ล้านบาท เป็นงบฯเหมาจ่ายรายหัวประจำปีงบประมาณ 2565 ไว้ที่ 158,294.42 ล้านบาท เพื่อดูแลประชากรผู้มีสิทธิบัตรทอง 47.66 ล้านคน (เฉลี่ย 3,329.22 บาท/ต่อหัว)
สำหรับรายละเอียดของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2565 มีดังนี้
ส่วนงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566 มีวงเงิน 204,140.02 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบฯเหมาจ่ายรายหัว 161,602.66 ล้านบาท (เฉลี่ย 3,385.98 บาท/ต่อหัว) และที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้เห็นชอบข้อเสนอหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริการจัดการกองทุนไปแล้ว เมื่อ 29 กรกฎาคม 2565 และเริ่มใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565
โรคโควิด-19 ตั้งงบฯต่ออีก 1,358.86 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการบริหารจัดการงบประมาณเบื้องต้น ดังนี้
นอกจากนี้ สปสช. ยังมีการเพิ่มการสนับสนุนบริการใหม่ให้กับประชาชน ในปีงบประมาณที่จะถึงนี้ เช่น