รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ หรือ “หมอธีระ” คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Thira Woratanarat” แสดงความเป็นห่วงการปลดล็อก เปิดเสรีกัญชา เชื่อส่งผลกระทบวงกว้างหากไม่มีมาตรการควบคุม เปรียบเทียบประสบการณ์ที่ลองผิดลองถูกจากโควิด-19 พร้อมเปิดข้อเสนอแนะ 26 หน้า ที่ทำไว้ตั้งแต่ กันยายน 2562 เพื่อควบคุมและจัดการผลกระทบจากนโยบายกัญหา มีข้อความระบุว่า..
8 มิถุนายน 2565 ทะลุ 536 ล้านไปแล้ว เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 502,657 คน ตายเพิ่ม 1,376 คน รวมแล้วติดไป 536,391,454 คน เสียชีวิตรวม 6,323,095 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ไต้หวัน บราซิล เยอรมัน เกาหลีเหนือ และสหรัฐอเมริกา
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 7 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 65.54 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 50.58 การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 36.69 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 15.47
สถานการณ์ระบาดของไทย
จากข้อมูล Worldometer เช้านี้พบว่า จำนวนติดเชื้อที่รายงานของไทยนั้นไม่สามารถนำมาใช้เปรียบเทียบกับประเทศอื่นได้ เพราะหลัง 1 มิ.ย. มีการประกาศปรับมารายงานเพียงจำนวนคนป่วย ไม่ใช่รายงานการติดเชื้อใหม่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 14 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย ถึงแม้สธ.ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.เป็นต้นมาจนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปมากก็ตาม
ทั้งนี้จำนวนเสียชีวิตของไทยเมื่อวานคิดเป็น 9.38% ของการเสียชีวิตทั้งหมดที่รายงานของทวีปเอเชีย (อย่างไรก็ตามหากปรับตามคาดประมาณสัดส่วนของคนที่มีโรคร่วมเหมือน UK จะพบว่าคิดเป็น 13.06%
ล้อมคอกยามไม่เหลือวัว
"วัวหายล้อมคอก" เป็นสำนวนที่เราคุ้นเคยกันดี มักเปรียบเปรยยามที่เห็นปรากฏการณ์ที่เหตุร้ายเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยคิดแก้ไข ของหายก่อนแล้วค่อยคิดป้องกัน
สำนวนข้างต้นสอนให้เราใช้สติในการดำรงชีวิต ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดีก่อนประพฤติปฏิบัติ หากเดินตามกิเลส คำล่อลวง ย่อมก่อให้เกิดความฉิบหาย และนำไปสู่หายนะ โดยยากที่จะแก้ไขได้
ยิ่งเป็นเรื่องระดับมหภาค ที่การตัดสินใจระดับนโยบายส่งผลต่อสวัสดิภาพ และความปลอดภัยในชีวิตของทุกคนในสังคม ยิ่งจำเป็นจะต้องมี “กลไกถ่วงดุลการตัดสินใจเชิงนโยบาย”
เพราะหากมีอิทธิพลหรือปัจจัยใดมาผลักดันให้เกิดนโยบายแบบฉาบฉวยเร่งด่วนตามกิเลส ไปแบบผิดทิศผิดทาง ไปแบบสร้างภาพลวงให้"เห็น"กงจักรเป็นดอกบัว และ"เปลี่ยน"กงจักรให้เป็นดอกบัว ผลกระทบที่เกิดขึ้นระยะยาวต่อทุกชีวิตในสังคมย่อมมากมายมหาศาล และยากที่จะกู้คืนในเวลาเร็ววัน
มองดูรอบตัวรอบโลก จะเรียนรู้ได้จากการตอบสนองต่อโรคระบาดตั้งแต่ช่วงแรกจนถึงปัจจุบัน ที่ระบาดยาวนานต่อเนื่อง และจะเกิดปัญหา Long COVID ตามมาในระยะยาว
รวมถึงการบริหารจัดการนโยบายเรื่องวัคซีน ยา อุปกรณ์ป้องกันที่จำเป็น ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งมีเรื่องต่างๆ มากมายให้เราได้สังเกต เรียนรู้ รู้เท่าทัน และจดจำว่า ได้เข้าถึงวัคซีนที่ดีอย่างเพียงพอหรือไม่ ยาที่ใช้เป็นหลักนั้นดีมีมาตรฐานสากลหรือเปล่า อุปกรณ์ป้องกันและการตรวจที่จำเป็นนั้นสามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง หรือต้องดิ้นรนและควักกระเป๋าจ่ายเองเพื่อเอาตัวรอด
มาจนถึง “กัญชา” ที่มีกระบวนการผลักดันเหยียบคันเร่งปลดล็อกมานานหลายปี แต่มีแรงทักท้วง หรือเตือนให้คิดรอบด้านให้ดีเสียก่อนจากคนไม่กี่คน หน่วยงานไม่กี่หน่วยงาน สื่อไม่กี่สื่อ จนต้านทานไม่ไหว แม้จะมีข้อมูลวิชาการจากประเทศต่างๆ ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อสังคม และสุดท้ายพอล่วงเลยมาถึงตอนนี้ ก็เพิ่งมีเสียงทักท้วงออกมามากขึ้นหลังจากเริ่มเห็นผลกระทบทางสังคมและสุขภาพ เรียกร้องให้ชะลอ และสร้างกฎหมายคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากกัญชา
ที่สุดแล้ว หากทำ root cause analysis ก็ย่อมลากไปถึงจุดร่วม
สังคมใดๆ จะมั่นคง สงบสุข และทำให้ทุกคนมีสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิต แม้ภัยคุกคามเกิดขึ้นก็จะไม่เกิดวิกฤติหนักหนาสาหัส...หากมีองค์ประกอบหลักคือ "วงการเมืองสุจริต วงนโยบายซื่อสัตย์ และวงวิชาการมีจริยธรรม"
...ควบคุม มิใช่ติดตาม
สุขภาพมิอาจต้านทาน
มัวเมา โง่เขลา มิอาจรู้
ประเทศชาติ มิอาจละเลย...
...สำหรับโรคระบาดในไทยเรานั้น เรียนย้ำอีกครั้งว่า การใส่หน้ากากเป็นหัวใจสำคัญ รักตนเองและครอบครัว ขอให้ป้องกันตัวเสมอ จะได้ไม่เกิดปรากฏการณ์ "วัวหายล้อมคอก" และ"ล้อมคอกยามไม่เหลือวัว"
พร้อมกันนี้ หมอธีระ โพสต์ข้อความถึงข้อเสนอแนะในการบริหารจัดการกัญชาเสรี พร้อมทั้งแนบภาพรายละเอียด 26 ภาพ มีเนื้อหาดังนี้
เคยร่างข้อเสนอนโยบายเพื่อป้องกันและจัดการผลกระทบจากนโยบายกัญชา ตั้งแต่กันยายน 2562 แต่ไม่สามารถผลักดันให้เข้าสู่การพิจารณาได้ เพราะเหตุใดคงพอคาดเดากันได้ จะเห็นได้ว่ากลไกการถ่วงดุลการตัดสินใจระดับนโยบายนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง
ป.ล. ช่วงที่ผ่านมาส่วนตัวได้พยายามเต็มที่เท่าที่จะพอทำได้แล้วครับ