(คลิป) เปิดตำนาน "ถ้ำอาถรรพ์" สิ่งเร้นลับเมืองลับแล

คนในพื้นที่หมู่ 8 ตำบลกระแสบน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกัน ถึงความเชื่อเรื่องสิ่งเร้นลับในถ้ำแห่งหนึ่ง ที่ชาวบ้านที่นี่เรียกกันว่า "เขาถ้ำ" มีผู้คอยปกปักรักษาถ้ำและผืนป่าแห่งนี้ บางครั้งในช่วงวันพระใหญ่ก็จะได้ยินเสียงดนตรีไทยและเห็นดวงไฟลอยขึ้นเหนือยอดเขา และบ้างก็ว่าเป็นเมืองลับแล

นายไพโรจน์ วงศ์ตรุษ ชาวบ้านหมู่ 8 เล่าว่า แต่เดิมมีการเล่าสืบต่อกันมาว่า ในอดีตภายในถ้ำชาวบ้านสามารถเข้าไปหยิบยืมถ้วยชาม ออกมาใช้ในงานบุญของหมู่บ้าน แต่ปรากฎว่าพอชาวบ้านบางรายนำถ้วยชามออกไปใช้แล้ว แต่ไม่ยอมนำมาส่งคืน บ้างก็ชำรุดแตกหักเสียหาย ตั้งแต่นั้นปากถ้ำก็เริ่มปิดลงเอง โดยไม่ทราบสาเหตุ

โดยชาวบ้านเชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลทรัพย์สินภายในถ้ำไม่พอใจชาวบ้านที่ไม่ยอมรักษาของที่ยืมไปใช้ และไม่นำมาคืน จึงปิดปากถ้ำไม่ให้เข้าไปได้อีกเลย รวมถึงความเชื่อว่าเป็นเมืองลับแลที่อาจจะเคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของคนโบราณ โดยมีการนำทรัพย์สินมาเก็บไว้ในถ้ำ หรือแม้กระทั่งที่ผ่านมาเคยเกิดไฟป่าลุกลามไปทั่วบริเวณรอบๆ ถ้ำ แต่ปรากฎว่าไฟไม่ลามเข้าไปไหม้ในรัศมีของถ้ำเลย จึงเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์คอยคุ้มครองอยู่ จึงรอดจากไฟป่ามาได้

ขณะที่ทีมข่าวลงพื้นที่ทำข่าว หนึ่งในทีมงานสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ที่บริเวณ "เขาถ้ำ" ทั้งเสียงดนตรีไทยที่แว่วเข้ามาในหูเพียงไม่กี่วินาที รวมไปถึงเสียงเหมือนคนเดินอยู่บริเวณนั้นทั้งที่ความเป็นจริงไม่มีผู้ใดอยู่ ประกอบกับลมที่พัดแรงแค่บริเวณเขาถ้ำ แต่บริเวณอื่นเงียบสงัดต้นไม้ไม่พริ้วไหว ประเด็นนี้แต่ละบุคคลต้องใช้วิจารณญาณ

สิ่งเร้นลับที่เกิดขึ้น คุณสุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือนักวิชาการด้านคติชน วิเคราะห์ถึงสาเหตุทางหลักวิทยาศาสตร์ สามารถบ่งบอกได้ว่าชุมชนแห่งนี้ มีการสืบทอดทางวัฒนธรรมกันมาหลายช่วงอายุคน ซึ่งแสดงถึงความเป็นปึกแผ่น ความรักใคร่กลมเกรียว ความสามัคคี ความซื่อสัตย์

ส่วนการที่ชาวบ้านได้ยินเสียงดนตรีไทย ประเด็นนี้ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับใจของเรา ยิ่งถ้าเราเป็นคนที่อยู่ในวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาด้วยแล้ว แน่นอนว่าประสาทสัมผัสต่างๆของเราก็โน้มเอียงให้เราเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น สุดท้ายจะกลายเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย เป็นไปตามวัฒนธรรมของชุมชนที่ผ่านมา ที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลมากกว่าความงมงาย

ไม่ว่าความเชื่อของชาวบ้านจะเป็นอย่างไร แต่ทว่าความเชื่อนั้นไม่ทำให้ใครได้รับความเดือดร้อน แต่กลับทำให้สังคมหรือชุมชนนั้นๆ เกิดความสามัคคี รักใคร่ปรองดองกัน ก็ไม่ควรไปลบล้างความเชื่อ หรือพิสูจน์หาความจริง แต่ควรปล่อยความเชื่อนั้นให้เป็นเรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป