พื้นที่บ้านห้วยผาก อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ที่ตั้งธรรมสถานวิโมกสิวาลัย หรือ วัดท่าไม้สาขา 2 ปัจจุบันเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ที่มีสิ่งปลูกสร้างถาวรใหญ่โต พื้นที่กว่า 70 ไร่ โดยเลขาสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นให้ กรมธนารักษ์ ตรวจสอบการถือครองที่ดินดังกล่าวถูกต้องหรือไม่
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2480 ที่ดินแห่งนี้เคยเป็นพื้นที่การทำเหมืองแร่ จนกระทั่งปี 2516 มีการเข้าสำรวจตรวจสอบ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางทรัพยากรธรรมชาติ และทหารขอใช้เป็นพื้นที่ราชพัสดุ เพื่อความมั่นคง
ต่อมา ประมาณปี 2535-2538 กรมธนารักษ์ ได้รับมอบหมายให้เข้าบริหารจัดการพื้นที่ มีการแบ่งพื้นที่เกษตรกรรมแจกจ่ายให้ชาวบ้าน ถือเอกสาร ภบท.5 รวมถึงที่ตั้งตั้งธรรมสถานวิโมกสิวาลัย ในปัจจุบัน
อดีตผู้ใหญ่บ้านห้วยผาก หมู่ 7 ให้ข้อมูลว่า มีนายช่าง จากวัดท่าไม้ มาซื้อที่ที่ดินต่อจากชาวบ้าน ประมาณ 35 ไร่ แล้วถวายให้กับวัดท่าไม้ โดยพื้นที่ไม่ได้อยู่ติดกับป่าสงวนหรือพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น A
ปี 2545 เป็นต้นมา ชาวบ้านเรียกสถานที่นี่ว่า “วัด” จนติดปาก และพบว่ามีการปลูกสร้างอาคารถาวรวัตถุ พร้อมทำหนังสือขออนุญาตสำนักพุทธศาสนา จัดตั้งเป็น “วัด”
สำนักพุทธฯ แย้งกลับมาว่า ในรัศมี 5 กิโลเมตร มีวัดที่ได้ใบวิสุงคามสีมา ไม่สามารถอนุญาตให้ตั้งวัดได้
แต่ระหว่างปี 2548 ถึง 2553 วิโมกสิวาลัย ยังปลูกสร้างสิ่งถาวรวัตถุ พร้อมกับทำเรื่องขอใบอนุญาต จัดตั้งมูลนิธิ แทน แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังคาราคาซัง มานับตั้งแต่นั้นจวบจนการบวชพรามห์ 2 โยคี “ปอ-โรเบิร์ต” จึงเกิดกระแสเรียกร้องให้กรมธนารักษ์ ตรวจสอบสถานที่แห่งนี้
จากการตรวจสอบ พบว่า วิโมกสิวาลัย ตั้งอยู่บนที่ดินราชพัสดุ แปลงพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินฯ พ.ศ.2481 อำเภอจอมบึง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 500,000 ไร่ ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ รบ.553 จ.ราชบุรี เพื่อใช้ในราชการทหาร (กองทัพบก)
พระผู้ดูแลธรรมสถานวิโมกสิวาลัย “พระปัฐพงษ์ ปุญญฺวํโสฆ์” ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่า สถานที่แห่งนี้ มีการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิแล้ว แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ กลับพบว่า ผู้จดทะเบียนเป็นวัดท่าไม้ ซึ่งเป็นสถานที่อื่น ไม่ใช่พื้นที่แห่งนี้ แต่พระปัฐพงษ์ อ้างว่า เป็นมูลนิธิเดียวกัน
สำหรับพื้นที่ ภายในธรรมสถานวิโมกสิวาลัย หรือมูลนิธิชยันโตโพธิธรรม รังษี เฉพาะศูนย์ปฏิบัติธรรม เรื้อที่ 38 ไร่ ส่วนบริเวณรอบๆ ใช้เป็นที่อยู่อาศัย และทำเกษตรกรรม ซึ่งมีการจัดให้เช่าเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น การดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่มีสัญญาเช่า จะต้องเรียกค่าเสียหายย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2551 ถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องทางแพ่ง แต่ในส่วนคดีอาญานั้น จะต้องดูองค์ประกอบหลายอย่าง ผู้ที่บุกรุกทุกคนต้องถือว่ามีความผิด จะต้องถูกดำเนินการ
นอกจากนี้ พบว่า เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ เพิ่งยื่นเอกสารเช่าพื้นที่ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2564 โดยยื่นหนังสือเปลี่ยนจาก “ผู้ใช้สถานที่” เป็น “ผู้เช่า”
ประเด็นที่ต้องตรวจสอบต่อไป คือ การก่อสร้างโดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งเป็นความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ว่าเหตุใดจึงปล่อยให้มีการก่อสร้าง ทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งตามหลักกฎหมาย ถือว่าสถานที่แห่งนี้ ทำผิดกฎหมาย อย่างชัดเจน แต่ในเรื่องของการดำเนินคดีจะมีการอลุ่มอล่วย
โดยหากดูจากเจตนา พบว่า ธรรมสถาน ไม่ได้หาผลประโยชน์จากการจัดตั้งสถานที่ จึงให้คำแนะนำ ให้รีบดำเนินการให้ถูกต้อง ด้านการจ่ายเงินค่าเช่าย้อนหลังตั้งเเต่ปี 2551 โดยหลวงพี่อุเทน จะเป็นผู้ดำเนินการ
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏเช่นนั้นแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่า มีการก่อสร้างอาคารชุมนุมคน สถานปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่ และสิ่งปลูกสร้างถาวรวัตถุทั้งหลายในพื้นที่ อาจจะไม่เป็นไปตามกฎหมาย โดยเฉพาะตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 2522 ซึ่งการก่อสร้างอาคารทุกประเภทจะต้องมีแบบแปลนและต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ในที่นี้คือ อบต.สวนผึ้ง
ผู้บัญชากองพลพัฒนาที่ 1 พล.ต.มนิต ศิริรัตนากูล เผยว่า ในพื้นที่พลพัฒนาที่ 1 ดูแลอยู่ มีสำนักสงฆ์ตั้งอยู่ 12 แห่ง ซึ่งจะต้องแจ้งให้ทราบถึงวิธีปฏิบัติ โดยมาตรการของกองทัพบก จะใช้วิธีจากเบาไปหาหนัก