อังกฤษเตรียมออกกฎบังคับวัดรอบเอวประชากร หลังโรคอ้วนครองเมือง

ภาวะโรคอ้วนกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของวงการสาธารณสุขอังกฤษ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาทางแก้ไข รวมถึงพิจารณาการใช้กฎหมายบังคับเพื่อพยายามลดขนาดรอบเอวของพลเมืองอังกฤษ ตามอย่างประเทศญี่ปุ่น

 

แทม ฟราย ประธานขององค์กรโรคน้ำหนักเกินมาตรฐานแห่งสหราชอาณาจักร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอังกฤษ ว่ากำลังพยายามผลักดันกฎหมายให้มีการวัดรอบเอวประชาชนชาวอังกฤษเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่อยู่ในวัยเริ่มเข้าโรงเรียน พร้อมเผยความคิดเห็นที่อ้างอิงมาจากข้อแนะนำของ สถาบันแห่งชาติเพื่อความเป็นเลิศด้านสุขภาพและการแพทย์ หรือ NICE (National Institute for Health and Care Excellence) ที่เสนอให้ชาวอังกฤษทุกคนที่มีอายุ 5 ขวบขึ้นไป ทำการวัดรอบเอวเป็นประจำ เพื่อควบคุมตัวเลขของรอบเอวให้น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของตัวเลขบอกส่วนสูง

เชื่อหรือไม่ สถิติของประเทศอังกฤษที่ได้จากห้องสมุดรัฐสภาระบุว่า 10.1% ของเด็กๆ ชาวอังกฤษที่มีอายุระหว่าง 4-5 ขวบ เป็นผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน (ข้อมูลระหว่างปี 2564-2565) และจำนวน 23.4% ของเด็กอายุระหว่าง 10-11 ขวบทั้งประเทศป่วยเป็น "โรคอ้วน"

ทั้งนี้ ฟรายยังเขียนบทความเผยแพร่ในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา โดยระบุถึงแนวโน้มอันน่าตกใจของขนาดรอบเอวของผู้หญิงเมืองผู้ดีที่ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 3 นิ้ว จากอัตราส่วนเดิมในช่วงทศวรรษที่ 1990 ซึ่งชี้ว่าชาวอังกฤษจำนวนมากมีนิสัยการกินในปริมาณที่มากเกินไป ราวกับมีงานเลี้ยงวันคริสต์มาสทุกวัน พร้อมกับอธิบายว่า การวัดรอบเอวของทุกคนตั้งแต่ตอนเด็กๆ จะช่วยให้ตระหนักรู้และเพิ่มความระมัดระวังในการบริโภคอาหาร ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันการป่วยเป็นโรคที่เนื่องมาจากการมีไขมันในช่องท้องมากเกินไป เช่น โรคเบาหวานประเภท 2 และโรคไต

ขนาดรอบเอวบอกสุขภาพตามผู้เชี่ยวชาญอังกฤษแนะนำ

ผู้เชี่ยวญชาญอังกฤษแนะนำประชาชนวัดขนาดรอบเอวที่สามารถบอกสุขภาพได้ โดยผู้ที่มีสุขภาพดีไม่ควรมีขนาดรอบเอวเกินครึ่งหนึ่งของส่วนสูง

โดยรอบเอวของคนที่ถือว่ามีสุขภาพดี และไม่มีไขมันเกินส่วนเกินจนน่าเป็นกังวล ไม่ควรมีขนาดเกินครึ่งหนึ่งของส่วนสูง ตัวอย่าง หากคุณสูง 175 ซม. (5 ฟุต 9 นิ้ว) เอวของคุณก็ควรน้อยกว่า 87.5 ซม. (34 นิ้ว) หรือครึ่งหนึ่งของส่วนสูง แต่ถ้าหากพบว่ามีรอบเอวมากเกินความสูง ก็จะทำให้รู้ว่าถึงเวลาที่ควรหันมาดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนักได้แล้ว

การใช้เกณฑ์การวัดรอบเอว เพื่อประเมินสุขภาพเบื้องต้น สามารถใช้ได้กับคนทุกเพศทุกวัย ยกเว้นผู้ที่มีความสูงน้อยกว่ามาตรฐานหรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีซึ่งอาจสูญเสียส่วนสูงเมื่ออายุมากขึ้น ทั้งนี้ วิธีการการวัดรอบเอวที่ถูกต้อง ควรวัดจากบริเวณของซี่โครงและส่วนบนของสะโพก โดยพันสายวัดรอบเอวไว้ตรงกลางระหว่างจุดดังกล่าว ระหว่างวัดรอบเอว ควรหายใจเข้าออกตามธรรมชาติ ไม่เกร็งหน้าท้อง หรือหายใจเข้าเก็บลมเข้าท้องนานเกินไป

BMI กับรอบเอว

แม้การวัดดัชนีมวลกาย หรือ BMI จะสามารถคำนวณน้ำหนักเกินมาตรฐานและบอกความเสี่ยงโรคอ้วนได้ แต่มีข้อแตกต่างคือ การวัดดัชนีมวลกาย โฟกัสที่มวลโดยรวมของร่างกาย โดยไม่ได้คำนึงถึงน้ำหนักส่วนเกินที่บริเวณหน้าท้อง ดังนั้น คนที่มีมวลน้ำหนัก BMI อยู่ในเกณฑ์ดี แต่อาจมีโอกาสที่มีน้ำหนักส่วนเกินหรือไขมันหน้าท้องเกินมาตรฐานก็เป็นได้

การรู้น้ำหนักส่วนเกินจากไขมันที่อยู่ตรงหน้าท้อง ช่วยบอกความเสี่ยงเกิดโรคต่างๆ เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง

ในคำแนะนำของ NICE ยังบอกอีกว่า ผู้คนจากกลุ่มชาติพันธุ์เอเชียบางกลุ่มและกลุ่มคนผิวสีมีแนวโน้มที่จะมีไขมันสะสมบริเวณรอบเอว หรือที่เรียกว่า "ภาวะอ้วนลงพุง" มากกว่าคนกลุ่มอื่น

ศาสตราจารย์ราเชล แบตเตอร์แฮม ที่ปรึกษาด้านโรคอ้วน โรคเบาหวาน และวิทยาต่อมไร้ท่อจากอังกฤษ ระบุว่า ไขมันส่วนเกินในช่องท้องเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคที่จำกัดชีวิตหลายอย่าง รวมทั้งโรคเบาหวานประเภท 2 และโรคหัวใจ ขณะที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ให้คำแนะนำว่า การควมคุมน้ำหนัก ควรปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ซึ่งควรอยู่ในการดูแลจากแพทย์

ในการนี้ ประธานขององค์กรโรคน้ำหนักเกินมาตรฐานแห่งสหราชอาณาจักร มีการอ้างถึงแนวปฏิบัติของประเทศญี่ปุ่น ที่เริ่มนำมาตรการการวัดรอบเอวพนักงานมาใช้ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่เรียกว่า Metabo Law ที่ตั้งชื่อตามชื่อโรค “Metabolic Syndrome” หมายถึงภาวะผิดปกติของระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้เกิดสภาวะอ้วนลงพุง น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน รวมถึงเป็นสาเหตุของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งในระยะยาวจะนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมองหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งระบุว่า พนักงานที่มีขนาดรอบเอวใหญ่เกินข้อกำหนดจะต้องโดนปรับ!!

โดยกฎหมาย Metabo ระบุว่า พนักงานในบริษัทหรือองค์กรที่มีอายุระหว่าง 45-74 ปี จะต้องวัดขนาดรอบเอวเป็นประจำทุกปีและรับคำแนะนำในการปฏิบัติตัว ถ้าหากพนักงานคนใดไม่สามารถลดน้ำหนักที่เกินมาภายในเวลา 3 เดือน บริษัทหรือผู้ว่าจ้างจะต้องจ่ายค่าปรับให้ทางการ

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นนับเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศในโลกตะวันตกที่ตัวเลขของผู้ป่วยโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและลดอายุผู้ป่วยลงเรื่อยๆ